UN ฟันธง! “กัมพูชา” กลายเป็นศูนย์กลางสแกมเมอร์โลก แนะเร่งร่วมมือแก้ด่วน
ยูเอ็นแฉ “กัมพูชา” กลายเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมไซเบอร์โลก ชี้รัฐรู้เห็น-กฎหมายอ่อน-ประชาคมโลกร่วมรับมือ
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 สถานการณ์อาชญากรรมไซเบอร์ได้กลายเป็นประเด็นร้อนระดับโลกอีกครั้ง หลังสำนักข่าว The Straits Times รายงานข่าวช็อกโลก โดยอ้างอิงแถลงการณ์จากองค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งได้เปิดเผยอย่างเป็นทางการว่า ประเทศกัมพูชา ได้กลายเป็น "ศูนย์กลางของเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ระดับโลก" หรือที่หลายคนในแวดวงข่าวเรียกกันว่า "Scammer Hub of the World" ไปเป็นที่เรียบร้อย
จากคอลเซ็นเตอร์สู่จักรวาลอาชญากรรมดิจิทัล
สิ่งที่น่าตกใจคือ รายงานจากยูเอ็นไม่ได้กล่าวถึงแค่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" แบบที่หลายประเทศเผชิญหน้าอยู่เท่านั้น แต่ยังเปิดโปงถึงการขยายตัวอย่างน่ากลัวของ เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ใช้ประเทศกัมพูชาเป็นฐานปฏิบัติการเต็มรูปแบบ
ตั้งแต่ การหลอกให้ลงทุน (Pig Butchering), การสร้างความสัมพันธ์รักลวงโลก (Romance Scam) ไปจนถึงรูปแบบที่โหดร้ายที่สุดอย่าง การค้ามนุษย์เพื่อการหลอกลวงทางไซเบอร์ ซึ่งหมายถึงการบังคับใช้แรงงานมนุษย์ในโลกดิจิทัล เป็นปรากฏการณ์ "การค้าทาสยุคใหม่" ที่เกิดขึ้นจริงในศตวรรษที่ 21
เหตุใด “กัมพูชา” ถึงกลายเป็นสวรรค์ของอาชญากรไซเบอร์?
คำถามสำคัญที่หลายฝ่ายตั้งขึ้นทันที คือ ทำไม "กัมพูชา" ถึงได้กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของขบวนการหลอกลวงโลกในยุคดิจิทัล รายงานของยูเอ็นได้วิเคราะห์ปัจจัยเชิงโครงสร้างหลายด้านที่หล่อหลอมให้ประเทศนี้กลายเป็น "ดินแดนสีเทา" อย่างสมบูรณ์แบบ
1. กฎหมายที่ล้าหลังและการบังคับใช้ที่อ่อนแอ
หนึ่งในปัจจัยหลักที่ยูเอ็นเน้นย้ำคือ ช่องโหว่ในระบบกฎหมายของกัมพูชา ซึ่งยังตามไม่ทันกลยุทธ์ของกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ ความล่าช้าและไม่จริงจังในการบังคับใช้กฎหมาย ส่งผลให้ไม่มีแรงยับยั้งพอสำหรับกลุ่มเหล่านี้ จึงสามารถตั้งฐานได้อย่างเปิดเผยในบางพื้นที่
2. เจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนเกี่ยวข้อง
ยูเอ็นยังชี้ว่า การทุจริตคอร์รัปชันภายในภาครัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่บางคนที่อาจมีส่วนรู้เห็นหรือรับผลประโยชน์จากเครือข่ายเหล่านี้ ทำให้ขบวนการมี "ภูมิคุ้มกัน" และสามารถดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายได้อย่างลอยนวล
3. เศรษฐกิจเปราะบาง เปิดโอกาสทุนสีเทา
เศรษฐกิจของกัมพูชาที่เปราะบาง โดยเฉพาะในชนบท ทำให้หลายพื้นที่กลายเป็น "ช่องทางใหม่" ให้ทุนสีเทาและขบวนการอาชญากรรม เข้าฝังรากและปั้นอาณาจักรอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีทั้งแหล่งทุน แรงงาน และเทคโนโลยีครบครัน
4. โควิด-19 จุดเปลี่ยนสำคัญ
ช่วงการระบาดของโควิด-19 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ กลุ่มอาชญากรที่เคยพึ่งพาธุรกิจคาสิโนชายแดน ซึ่งถูกปิดชั่วคราว ได้ปรับยุทธศาสตร์มาเน้น "ออนไลน์เต็มรูปแบบ" และเริ่มล่อลวงแรงงานจากหลายประเทศด้วยคำสัญญาจ้างงานที่ดี แต่เมื่อเดินทางไปถึงกลับถูกควบคุม ถูกบังคับทำงานกับเครือข่าย scammer โดยไม่มีทางหนี
ผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจ
การที่กัมพูชากลายเป็นศูนย์กลางของอาชญากรรมไซเบอร์นั้น ไม่เพียงแค่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยัง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ที่มองว่ากัมพูชาอาจเป็นดินแดนที่ "ไม่ปลอดภัย" ทั้งทางกฎหมายและการดำเนินธุรกิจ
ในทางกลับกัน เหยื่อที่ถูกหลอก ไม่ว่าจะอยู่ในสหรัฐฯ จีน ออสเตรเลีย หรือแม้แต่ในอาเซียนเอง ก็ได้รับผลกระทบทางจิตใจและการเงินอย่างรุนแรง โดยเฉพาะผู้สูงอายุและคนที่ขาดการเข้าถึงความรู้ด้านไซเบอร์
UN เสนอทางออก – สงครามที่ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย
ยูเอ็นระบุว่า ปัญหานี้ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็น "สงคราม" ที่ต้องใช้ความร่วมมือจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลกัมพูชาเอง องค์กรระหว่างประเทศ ประเทศเพื่อนบ้าน และแม้แต่พลเมืองทั่วโลก
ข้อเสนอสำคัญจากยูเอ็น
1. รัฐบาลกัมพูชาต้องแสดงความจริงใจ: แสดงให้เห็นถึงการปราบปรามเครือข่ายเหล่านี้อย่างจริงจัง ทั้งการปฏิรูปกฎหมาย และการกวาดล้างเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
2. ความร่วมมือระดับภูมิภาคและโลก: ต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองของแต่ละประเทศ สร้างเครือข่ายระหว่างประเทศในการติดตาม ตัดช่องทางการเงิน และทลายโครงข่ายดิจิทัลเหล่านี้
3. สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน: การให้ความรู้ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ การรณรงค์ให้ประชาชนรู้เท่าทัน และการป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ คือ “ปราการด่านแรก” ที่สำคัญที่สุด
ความหวังยังมี หากร่วมมืออย่างจริงจัง
แม้ว่าสถานการณ์ในขณะนี้จะดูน่ากังวลและน่าเศร้าใจ แต่ก็ยังมีความหวัง หากทุกฝ่ายลงมืออย่างจริงจัง ไม่เพิกเฉยต่อปัญหาที่เห็นอยู่ตรงหน้า กัมพูชายังสามารถเปลี่ยนสถานะจาก "Scammer Hub" กลับมาเป็นประเทศที่น่าเชื่อถือในสายตานานาชาติได้อีกครั้ง
แต่ถ้ายังปล่อยให้เครือข่ายเหล่านี้ฝังรากลึก สร้างรายได้มหาศาลจากความทุกข์ของเหยื่อทั่วโลก ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะรุนแรงเกินกว่าที่ใครจะรับผิดชอบไหว
หมายเหตุ: บทความนี้สรุปจากรายงานของสื่อและหน่วยงานระหว่างประเทศ โปรดติดตามความเคลื่อนไหวและท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาและประเทศต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป

















