ไม่กลับก็มาอยู่เขมร! “ฮุน มาเนต” ต้อนรับ “หลวงตาสุจ” หลังประกาศตัดขาดไทย
ฮุน มาเนต โพสต์ต้อนรับ "หลวงตาสุจ" อย่างเป็นทางการ สะเทือนความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ท่ามกลางดราม่า-การเมืองชายแดน
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ความเคลื่อนไหวหนึ่งที่สร้างแรงกระเพื่อมทั้งในประเทศไทยและกัมพูชาปรากฏขึ้นบนโลกโซเชียล เมื่อ "นายฮุน มาเนต" นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของกัมพูชา ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการ "ต้อนรับ" และ "ให้การสนับสนุน" แก่พระสงฆ์ไทยอย่าง "หลวงตาสุจ" พระนักเทศน์ชื่อดังจากวัดป่าโคกคฤห์ จ.บุรีรัมย์ ประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ได้เดินทางเข้าไปพำนักอยู่ในกัมพูชา และกำลังเป็นที่จับตามองของสื่อทั้งสองประเทศ
หลวงตาสุจ : จากพระนักเทศน์สู่ศูนย์กลางกระแสดราม่า
หลวงตาสุจ พระนักเทศน์วัยกลางคนซึ่งเคยมีชื่อเสียงในสายธรรมะเทศนา และมักปรากฏตัวตามคลิปวิดีโอออนไลน์เพื่อเผยแผ่หลักธรรมแบบเข้มข้น ได้ตกเป็นเป้าดราม่าร้อนแรงบนโลกออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมา หลังจากมีคลิปหนึ่งที่หลวงตาแสดงท่าทีพาดพิงและตำหนิประชาชนในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์อย่างรุนแรง จนเกิดเสียงวิจารณ์ในสังคม ทั้งจากญาติพี่น้องของท่านเอง ชาวบ้าน และวงการพระพุทธศาสนาในท้องถิ่น
ผลพวงจากคำพูดดังกล่าว ทำให้หลวงตาสุจถูกกล่าวหาว่า "เหยียดถิ่นฐาน" และ "แตกแยกทางชาติพันธุ์" ซึ่งยิ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เนื่องจากจังหวัดสุรินทร์มีชาวไทยเชื้อสายเขมรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ความไม่พอใจของสังคมไทยพุ่งสูงถึงขั้นมีการประกาศ "ตัดขาด" จากครอบครัวและศิษย์เก่าหลายกลุ่ม ขณะที่วัดป่าโคกคฤห์ต้นสังกัด ก็มีชาวบ้านออกมาแสดงท่าที "ไม่ต้อนรับ" และปฏิเสธไม่ให้หลวงตากลับมาจำพรรษาในพื้นที่อีก
"จะไม่ขอกลับเหยียบแผ่นดินไทย" – คำประกาศกร้าวของหลวงตาสุจ
ภายใต้แรงกดดันอย่างรุนแรงจากกระแสสังคมในไทย หลวงตาสุจได้ประกาศผ่านคลิปวิดีโอในโลกออนไลน์ว่า “จะไม่ขอกลับมาเหยียบแผ่นดินไทยอีก” พร้อมกล่าวย้ำว่า หากรัฐบาลกัมพูชาเกิดเปลี่ยนท่าทีและจับส่งตัวกลับไทยเมื่อใด ท่านจะ “ขอผูกคอตายในแผ่นดินกัมพูชา” เพื่อเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง
คำประกาศนี้จุดชนวนให้ประเด็นดราม่ากลายเป็นเรื่องระดับ "ระหว่างประเทศ" ขึ้นทันที โดยมีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์นี้อาจถูกนำไปโยงเข้ากับบริบททางการเมือง และอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งมีความละเอียดอ่อนมาอย่างยาวนาน
ฮุน มาเนต ตอบสนองอย่างเป็นทางการ: "กัมพูชายินดีต้อนรับ"
สิ่งที่ทำให้ประเด็นนี้ลุกลามไปไกลกว่าการเป็นเพียงเรื่องของพระสงฆ์ คือการที่ "ฮุน มาเนต" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้แสดงท่าทีสนับสนุนหลวงตาสุจอย่างชัดเจน โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า:
"เพื่อตอบสนองคำขอของพระคุณเจ้า (หลวงตาสุจ) ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลกัมพูชาและในนามส่วนตัว ผมพร้อมต้อนรับพระคุณเจ้า (หลวงตาสุจ) ตลอดเวลา"
ไม่เพียงแค่นั้น ฮุน มาเนตยังขยายเจตจำนงทางการเมืองด้วยการกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลของเขายินดีต้อนรับพระสงฆ์เถรวาทและชาวกัมพูชาทุกคนที่รู้สึกว่าตนเอง "ถูกเบียดเบียน" หรือ "ถูกทำให้อับอาย" เนื่องจากแสดงความเห็นเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของกัมพูชา
เขาเน้นว่า จะไม่มีการแบ่งแยกหรือส่งตัวบุคคลกัมพูชากลับประเทศอื่น หากบุคคลเหล่านั้นแสวงหาความยุติธรรมในกัมพูชา
แรงสั่นสะเทือนทางการเมือง – ปมชายแดน "ตาเมือนธม" กลับมาร้อน
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงกระแสโซเชียลชั่วครู่ แต่เป็นการขยับหมากทางการเมืองท่ามกลางความตึงเครียดที่คุกรุ่นอยู่บริเวณชายแดนปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นเขตชายแดนที่มีข้อพิพาททางประวัติศาสตร์ระหว่างไทย-กัมพูชา และยังไม่เคยมีข้อยุติที่ชัดเจน
การที่ฮุน มาเนต ออกมาหนุนหลังหลวงตาสุจในครั้งนี้ ทำให้มีการวิเคราะห์จากนักวิชาการและนักการทูตว่า นี่อาจเป็นการส่ง "สัญญาณทางการทูต" ถึงรัฐบาลไทย ว่ากัมพูชากำลังจับตามองท่าทีของไทยในหลายประเด็น โดยเฉพาะการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อย และปัญหาชาติพันธุ์
เสียงสะท้อนในสังคมไทย: เห็นต่าง แบ่งขั้ว
ในฝั่งของประเทศไทย กระแสในโซเชียลมีเดียยังคงแตกออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า หลวงตาสุจควรต้องรับผิดชอบคำพูดที่สร้างความแตกแยก และไม่ควรใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการก่อกระแสทางการเมืองหรือหลีกเลี่ยงความรับผิด
อีกฝ่ายหนึ่งกลับเห็นว่า การที่พระสงฆ์คนหนึ่งต้องหนีข้ามประเทศเพียงเพราะแสดงความคิดเห็น ก็อาจสะท้อนถึงเสรีภาพในการแสดงออกที่ยังเปราะบางในสังคมไทย และตั้งคำถามว่าการ "ไล่ล่า" โดยสังคมออนไลน์แบบนี้ เป็นธรรมแล้วหรือไม่
อนาคตความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา จะไปทางไหน?
สถานการณ์ในขณะนี้ แม้จะยังไม่มีท่าทีตอบโต้อย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย แต่การเคลื่อนไหวของผู้นำกัมพูชาก็เป็นที่จับตามองจากทั้งนักการทูต องค์กรสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชนหลายสำนัก
คำถามสำคัญที่ยังรอคำตอบคือ กรณีหลวงตาสุจจะกลายเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศตึงเครียดยิ่งขึ้นหรือไม่? หรือจะเป็นเพียงระลอกหนึ่งในเกมการทูตระหว่างบ้านใกล้เรือนเคียง ที่มักมีทั้งมิตรภาพและความขัดแย้งพัวพันกันอยู่เสมอ?
สรุป กรณีของหลวงตาสุจ และการแสดงท่าทีของฮุน มาเนต สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของประเด็นชาติพันธุ์ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการใช้ศาสนาในบริบทการเมือง ซึ่งไม่เพียงแต่สะเทือนศรัทธาของคนไทยบางส่วน แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาค
เรื่องนี้ยังไม่จบง่าย ๆ และอาจกลายเป็นบทเรียนใหม่ว่า “คำพูด” แม้จะออกมาจากปากของพระ ก็อาจส่งผลสะเทือนได้ไกลกว่าที่ใครจะคาดคิด






















