ศึกใหญ่เริ่มแล้ว! วุฒิสภายื่นศาล รธน.–ป.ป.ช. ถอดถอนนายกฯ ปมจริยธรรม

วิกฤตรัฐบาล! ปมคลิปเสียง "แพทองธาร-ฮุน เซน" เดือดลุกลามถึงวุฒิสภา เรียกร้องถอดถอนนายกฯ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ-ป.ป.ช.สอบจริยธรรมร้ายแรง

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2568 การเมืองไทยเข้าสู่จุดเดือดครั้งใหม่ เมื่อ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา มีหนังสือส่งตรงถึง ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามคำร้องของกลุ่มสมาชิกวุฒิสภา ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2568 เพื่อให้ดำเนินการไต่สวน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีถูกกล่าวหาว่ามีพฤติการณ์เข้าข่าย “ทุจริตต่อหน้าที่” และอาจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง

 

ไม่เพียงแค่การยื่น ป.ป.ช. เท่านั้น วุฒิสภายังได้ส่งเรื่องถึง ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้มีการวินิจฉัยว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ ตาม มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบ มาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

 

จุดเริ่มต้นของพายุทางการเมือง

กรณีนี้เกิดขึ้นจากประเด็นร้อนแรงที่สะเทือนวงการเมืองไทย เมื่อมี คลิปเสียงสนทนาหลุดระหว่าง น.ส.แพทองธาร และ สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งภายหลัง น.ส.แพทองธาร ได้ออกมายอมรับด้วยตนเองว่าเสียงในคลิปเป็นของตนจริง โดยเนื้อหาในคลิปมีการพาดพิงถึง “แม่ทัพภาคที่ 2” ว่าเป็นบุคคล “ฝ่ายตรงข้าม” อีกทั้งยังแสดงออกถึงการยินยอมและอ่อนข้อให้กับกัมพูชา ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่กำลังมีข้อพิพาทกับไทยในพื้นที่ชายแดน ณ ขณะนี้

 

ถ้อยคำในคลิปดังกล่าวกลายเป็นชนวนรุนแรงที่จุดไฟโหมกระพือกระแสความไม่พอใจจากทั้งภาคประชาชนและในแวดวงการเมือง โดยเฉพาะฝั่ง วุฒิสภา และ คณะกรรมาธิการการทหาร นำโดย พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ซึ่งออกแถลงการณ์ขอให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบด้วยการ “ลาออกจากตำแหน่ง” ทันที

 

เหตุผลที่เรียกร้องให้ถอดถอน

แถลงการณ์และคำร้องของคณะกรรมาธิการการทหาร วุฒิสภา ระบุชัดว่า พฤติการณ์ของ น.ส.แพทองธาร ในคลิปเสียงดังกล่าว อาจเข้าข่ายละเมิดรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอาญาในหลายมาตรา โดยสรุปได้ดังนี้

 

1. ละเมิดรัฐธรรมนูญ

มาตรา 5 และ 52: บุคคลต้องพิทักษ์เกียรติภูมิของชาติ และรัฐต้องรักษาอธิปไตยของประเทศ

มาตรา 160 (4)-(5): ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต และไม่มีลักษณะต้องห้าม

มาตรา 164: คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบ สุจริต และเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ

2. ผิดกฎหมายอาญา

หมวดความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ทั้งภายในและภายนอก เช่น การสมคบกับศัตรู การให้ความร่วมมือกับฝ่ายตรงข้ามที่กระทบต่อความมั่นคง

มาตรา 257: เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

3. ผิดจริยธรรมร้ายแรง

การพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม และมีท่าทีเข้าข้างผู้นำกัมพูชา ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ บ่อนทำลายความสามัคคีในชาติ และขัดต่อจริยธรรมผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างร้ายแรง

 

การดำเนินการของวุฒิสภา

หลังจากรวบรวมรายชื่อสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่งในวันที่ 19 มิ.ย. 2568 พล.อ.สวัสดิ์ ได้ยื่นเรื่องอย่างเป็นทางการต่อประธานวุฒิสภา เพื่อดำเนินการขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญในการถอดถอน น.ส.แพทองธาร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

หนังสือที่ยื่นในครั้งนี้มีเป้าหมายหลัก 2 ประการ ได้แก่

1. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าสถานะนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่ตามมาตรา 170 และมาตรา 160

2. ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. เพื่อไต่สวนว่าพฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่าย “ทุจริตต่อหน้าที่” และ “ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง” หรือไม่

คณะกรรมาธิการทหารยืนยันว่าการดำเนินการครั้งนี้ เป็นไปตามบทบาทหน้าที่ของวุฒิสภาที่ต้องทำหน้าที่เป็นกลไกถ่วงดุลและตรวจสอบฝ่ายบริหารอย่างจริงจังเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ

 

ท่าทีของฝ่ายรัฐบาลและประชาชน

จนถึงขณะนี้ ฝ่ายรัฐบาลยังไม่มีการตอบโต้แถลงการณ์ของวุฒิสภาอย่างเป็นทางการ นอกจากคำยืนยันจาก น.ส.แพทองธาร ว่าเสียงในคลิปเป็นของตนจริง แต่ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายประเทศแต่อย่างใด

ในขณะเดียวกัน บนโลกออนไลน์และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย มีทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงวิจารณ์ผู้นำรัฐบาลอย่างกว้างขวาง ฝ่ายหนึ่งมองว่าการยอมอ่อนข้อให้กับกัมพูชาในสถานการณ์ชายแดนเป็นการ “อ่อนแอ” และไม่ควรให้นายกรัฐมนตรีที่ขาดภาวะผู้นำดำรงตำแหน่งต่อไป ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าเรื่องนี้อาจถูกขยายความเกินจริง และเป็นเรื่องของการทูตที่ซับซ้อน

 

ข้อเรียกร้องจาก กมธ.การทหาร

ในตอนท้ายของแถลงการณ์ คณะกรรมาธิการการทหารได้เน้นย้ำว่า ไม่อาจปล่อยให้บุคคลที่แสดงท่าที “ฝักใฝ่ข้าศึก” เป็นผู้นำประเทศต่อไปได้แม้แต่วินาทีเดียว พร้อมยืนยันว่าจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญและ ป.ป.ช. ดำเนินการโดยเร็วที่สุด

ข้อความในแถลงการณ์จบลงด้วยถ้อยคำที่ชัดเจนว่า:

 “เมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน”

ถือเป็นการตอกย้ำว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะไม่จบลงง่าย ๆ และอาจลุกลามกลายเป็น วิกฤตศรัทธาทางการเมือง ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยยุคใหม่

 

หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงจริง อาจนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หรือแม้แต่การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะทำให้สถานการณ์การเมืองเข้าสู่ความผันผวนอีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน หาก ป.ป.ช. รับเรื่องและเริ่มกระบวนการไต่สวน โดยเฉพาะหากพบว่ามีการฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง อาจมีผลถึงขั้นตัดสิทธิทางการเมืองของ น.ส.แพทองธาร ในอนาคต

ขณะนี้ประชาชนจึงควร รับฟังข่าวสารอย่างมีสติ ตรวจสอบแหล่งข่าวให้รอบด้าน และไม่หลงเชื่อกระแสข่าวปลอม ที่อาจถูกปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจผิดและบั่นทอนความมั่นคงของชาติในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้