นักมวยเขมรดัง! ชกในไทยนับ 10 ปี โผล่หนุน “ฮุน มาเนต” ท่ามกลางปมร้อนชายแดน
“ซก ธิ” นักมวยชาวกัมพูชาผู้ชกในไทยกว่า 10 ปี ร่วมเดินขบวนหนุน “ฮุน มาเนต” ปมพิพาทชายแดน เดินหน้าปกป้องศักดิ์ศรีชาติ
สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กลับมาเป็นประเด็นร้อนแรงอีกครั้งในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนที่ยังไม่มีการจัดการแบ่งเขตอย่างชัดเจน จนนำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหาร และมีทหารกัมพูชาเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้หนึ่งราย ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านต้องเผชิญกับความเปราะบางมากยิ่งขึ้น
ขณะที่รัฐบาลไทยยังคงดำเนินนโยบายแบบระมัดระวังและอยู่ในขั้นตอนการเจรจาทางการทูต ฝั่งกัมพูชาโดยเฉพาะภายใต้การนำของ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นบุตรชายของอดีตผู้นำฮุน เซน ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวมากยิ่งขึ้น
ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดนี้ ได้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองเมื่อประชาชนชาวกัมพูชาหลายพันคน ออกมาร่วมเดินขบวนในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศ เพื่อแสดงพลังสนับสนุนรัฐบาล ภายใต้การนำของฮุน มาเนต โดยการเดินขบวนครั้งนี้มีทั้งพระสงฆ์ นักศึกษา ข้าราชการ และประชาชนทั่วไปเข้าร่วม รวมถึงกลุ่มนักกีฬา โดยเฉพาะนักมวยกัมพูชา ที่ครั้งหนึ่งเคยทำงานและมีชื่อเสียงในประเทศไทย ต่างพร้อมใจกันออกมาแสดงจุดยืนร่วมปกป้องศักดิ์ศรีชาติของตน
“ซก ธิ” จากเวทีมวยไทยสู่เวทีการเมืองแห่งศรัทธา
หนึ่งในบุคคลที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในขบวนดังกล่าวคือ “ซก ธิ” นักมวยชาวกัมพูชาผู้มีชื่อเสียงจากการชกในประเทศไทยมายาวนานกว่า 10 ปี ซก ธิไม่ใช่นักมวยธรรมดา แต่เป็นหนึ่งในนักชกที่สร้างชื่อเสียง และมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมการต่อสู้ระหว่างไทย-กัมพูชา
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซก ธิ ทำงานอย่างหนักในเวทีมวยไทยทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยยึดอาชีพนี้เลี้ยงชีพ ส่งเงินกลับไปให้ครอบครัว และยังเคยให้สัมภาษณ์ในหลายสื่อไทยว่าเขารู้สึกผูกพันกับประเทศไทยในฐานะ “บ้านหลังที่สอง”
แต่เมื่อเกิดเหตุพิพาทชายแดนขึ้น เสียงเรียกร้องในใจของเขาในฐานะชาวกัมพูชาก็กลับดังกว่าเดิม เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมเดินขบวนเพื่อแสดงพลังสนับสนุนฮุน มาเนต โดยให้เหตุผลว่า “ผมอาศัยอยู่ในไทยก็จริง แต่หัวใจของผมคือกัมพูชา ผมต้องยืนเคียงข้างชาติของผมในยามวิกฤต”
กีฬาก็ไม่พ้นผลกระทบ การห้ามขึ้นชก-งดถ่ายทอดสดมวยไทยในเขมร
ข้อพิพาทชายแดนครั้งนี้ไม่เพียงแต่กระทบในเชิงการทูตและความมั่นคง แต่ยังลามไปถึงวงการกีฬา โดยเฉพาะมวยไทย ซึ่งเดิมทีถือเป็นสื่อกลางที่ช่วยเชื่อมร้อยความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
แต่ล่าสุดมีรายงานว่า ทางการกัมพูชาได้ออกคำสั่งห้ามนักมวยไทยขึ้นชกในประเทศ และยังห้ามการถ่ายทอดสดการแข่งขันมวยไทยในสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นอีกด้วย โดยให้เหตุผลว่าเป็นการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์ต่อท่าทีของรัฐบาลไทย และเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของมวยกัมพูชาที่มีต้นกำเนิดจาก “กุน ขแมร์” ศิลปะการต่อสู้ประจำชาติ
ส่งผลให้นักมวยไทยหลายรายที่มีโปรแกรมจะขึ้นชกในประเทศกัมพูชาต้องถูกยกเลิกงานกระทันหัน ขณะที่ผู้จัดการแข่งขันหลายรายก็แสดงความเป็นกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น และอาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมกีฬาโดยรวมในภูมิภาคนี้
“สเร จันทร” นำทัพกำปั้นเขมรลุยขบวน ชี้กีฬาคืออาวุธทางวัฒนธรรม
ในการเดินขบวนดังกล่าวยังมี “สเร จันทร” ประธานสหพันธ์กุน ขแมร์ เข้าร่วมพร้อมกล่าวสุนทรพจน์อย่างเร่าร้อนว่า “ศิลปะการต่อสู้ของเราคือมรดกที่บรรพบุรุษฝากไว้ และเราจะไม่ยอมให้ใครมาเหยียบย่ำ” เขายังกล่าวอีกว่า การที่นักมวยชาวกัมพูชาออกมาแสดงพลังครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเมือง แต่เป็นการปกป้องอัตลักษณ์และรากเหง้าทางวัฒนธรรมของชาติ
เขายังย้ำว่าทุกเวทีที่นักมวยกัมพูชาเคยไปสร้างชื่อในต่างประเทศ รวมถึงไทย คือเวทีที่พิสูจน์แล้วว่าชาวกัมพูชามีความสามารถ และพร้อมแข่งขันบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน
ท่าทีรัฐบาลไทย – ทางเลือกการเจรจาหรือใช้กำลัง?
ในด้านของรัฐบาลไทย ยังไม่มีท่าทีแข็งกร้าวหรือปฏิกิริยาตอบโต้แบบเป็นทางการในกรณีประชาชนกัมพูชารวมตัวกันเดินขบวน แต่แหล่งข่าวจากวงการทหารเผยว่า สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนยังคงถูกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยมีการเพิ่มกำลังในบางจุดเพื่อป้องกันความไม่สงบ
นักวิเคราะห์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระบุว่า “ข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นเรื่องที่สะสมมานาน และสามารถลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ได้หากไม่รีบหาทางออกด้วยวิธีการทางการทูต” อีกทั้งยังเตือนว่าการนำกีฬาเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงและส่งผลกระทบระยะยาวต่อภาพลักษณ์ของทั้งสองประเทศ
สะท้อนความจริงของ “แรงงานข้ามชาติ” ที่ไม่มีพรมแดนของหัวใจ
กรณีของ “ซก ธิ” ไม่เพียงแต่เป็นภาพสะท้อนของนักมวยคนหนึ่งที่กลับไปยืนข้างแผ่นดินแม่ แต่ยังเป็นตัวแทนของแรงงานข้ามชาติอีกนับล้านคน ที่แม้จะทำงานในประเทศอื่น แต่วิญญาณและหัวใจยังคงผูกพันกับบ้านเกิดของตนอย่างลึกซึ้ง
ในวันที่โลกไร้พรมแดน เส้นแบ่งเขตแดนบนแผนที่อาจไม่มีความหมายเท่าความผูกพันในใจของแต่ละคน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นเครื่องเตือนใจให้เราตระหนักว่า “ความเข้าใจ” และ “การเคารพกัน” ยังเป็นหนทางเดียวที่จะนำสันติสุขกลับคืนสู่ชายแดน




















