เปิดขุมทรัพย์ “ฮุนเซน” รวยแสนล้าน! ทั้งที่เงินเดือนนายกแค่ 4 หมื่นบาท?
เบื้องหลังความมั่งคั่ง “ตระกูลฮุนเซน” อดีตผู้นำกัมพูชา กับเครือข่ายพันล้าน ซุกทรัพย์ยุโรป-ซื้อสัญชาติ หนีภัยหากอำนาจสะดุด
แม้จะเคยประกาศต่อสาธารณชนว่า “ขออยู่กินหญ้ากับประชาชน” แต่รายงานลับจากองค์กรต่างประเทศกลับชี้ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่าง “ฮุน เซน” และตระกูลของเขานั้น ดำรงชีวิตที่แตกต่างจากประชาชนโดยสิ้นเชิง ด้วยเครือข่ายธุรกิจและทรัพย์สินซุกซ่อนมากมายทั่วโลก มูลค่ารวมอาจแตะระดับ แสนล้านบาท พร้อมช่องทางหลบหนีในกรณีที่สูญเสียอำนาจ
รายได้ทางการเดือนละ 4 หมื่น – แต่รวยระดับพันล้าน
รายงานจากองค์กร Global Witness และสำนักข่าว The Diplomat เมื่อปี 2559 เผยให้เห็นภาพลับของเครือข่ายอำนาจและการสะสมทรัพย์สินของตระกูลฮุน เซน โดยแม้เจ้าตัวจะเคยประกาศว่า เงินเดือนผู้นำประเทศอยู่เพียงเดือนละ 1,150 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 40,000 บาท เท่านั้น แต่ทรัพย์สินจริงกลับ “มหาศาลเกินจินตนาการ”
ในรายงานชื่อ Hostile Takeover ระบุว่า ตระกูลของฮุน เซน มีชื่อหรือถือหุ้นอยู่ในบริษัทเอกชนในกัมพูชามากถึง 114 แห่ง มูลค่ารวมกว่า 200 ล้านดอลลาร์ (ราว 7,000 ล้านบาท) แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า นั่นเป็นเพียง “ยอดของภูเขาน้ำแข็ง” เท่านั้น เพราะยังไม่รวมทรัพย์สินในต่างประเทศหรือทรัพย์สินที่ใช้ชื่อบุคคลอื่นซุกซ่อนเอาไว้
ซุกทรัพย์ ซื้อบ้านหรูในยุโรป – ขอสัญชาติเป็นพลเมือง EU
รายงานของสำนักข่าว รอยเตอร์ (Reuters) ในปี 2562 ระบุเพิ่มเติมว่า สมาชิกในตระกูลฮุน เซน ได้กระจายการลงทุนและย้ายทรัพย์สินไปยังยุโรปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรและไซปรัส
หนึ่งในกรณีที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือ “ชุน กิมเลง” หลานสาวของฮุน เซน ที่ถือกรรมสิทธิ์อพาร์ตเมนต์หรูใกล้พระราชวังเคนซิงตัน กลางกรุงลอนดอน มูลค่ากว่า 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 87 ล้านบาท) พร้อมคอนโดมิเนียมในสิงคโปร์ และยื่นขอสัญชาติไซปรัสในปี 2559 กลายเป็นพลเมืองของสหภาพยุโรปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เอกสารลับจากกระทรวงมหาดไทยไซปรัสเผยอีกว่า รัฐบาลไซปรัสยังอนุมัติสัญชาติให้กับสามีของเธอคือ “เพีช สะเรือน” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกัมพูชา รวมถึงลูกสาวทั้งสองคน หนึ่งในนั้นเพิ่งใช้เงินถึง 250 ล้านบาท ซื้ออพาร์ตเมนต์หรู 2 ชั้นในลอนดอน
นอกจากนี้ รายชื่อผู้ขอสัญชาติไซปรัสยังรวมถึงบุคคลใกล้ชิดตระกูลฮุน อาทิ:
“เอา พอลมอนิโรธ” รัฐมนตรีคลังของกัมพูชา
“อิม เปาติกา” นักลงทุนในโรงแรมหรูในไซปรัส
ตระกูลธุรกิจยักษ์ใหญ่ “Pheapimex” ผู้มีประวัติเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ผิดกฎหมายและการไล่ที่ประชาชนในกัมพูชา
ใช้ชีวิตหรูหรา – แต่ประชาชนยังจน
แม้ฮุน เซน จะเคยกล่าวต่อประชาชนว่า “ไม่มีพาสปอร์ตต่างประเทศ” และเลือกจะอยู่กับประชาชนในประเทศ แต่บรรดาญาติๆ ของเขากลับใช้ชีวิตอย่างหรูหราในยุโรป โพสต์ภาพบนโซเชียลมีเดียอย่างไม่ปิดบัง ทั้งการพักผ่อนบนเรือยอร์ชที่เกาะคาปรี ทานคาเวียร์ในลอนดอน หรือซื้อรถเบนซ์ให้แฟนสาว
สิ่งเหล่านี้ขัดแย้งกับความเป็นจริงที่ประชาชนกัมพูชาส่วนใหญ่ยังมีรายได้เฉลี่ยเพียงวันละ 150 บาท และต้องเผชิญกับความยากจนขาดแคลนสิ่งอุปโภคบริโภคขั้นพื้นฐาน
ไม่ใช่แค่รวย – แต่ยังเชื่อมโยงกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน
รายงานของ Global Witness ยังชี้ว่า บริษัทและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตระกูลฮุน ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงในกัมพูชา เช่น:
การยึดที่ดินจากชาวบ้านโดยใช้ความรุนแรง
การเผาทำลายบ้านเรือนเพื่อขับไล่
การใช้ “งูเห่า” ข่มขู่ประชาชนให้อพยพออกจากพื้นที่
แม้จะมีข้อกล่าวหาและหลักฐานมากมาย แต่กลับไม่มีสมาชิกตระกูลฮุนคนใดเคยถูกดำเนินคดีทางกฎหมายแต่อย่างใด เนื่องจากขาดระบบตรวจสอบและกลไกตรวจสอบภายในประเทศที่เข้มแข็ง
ส่งต่ออำนาจให้ลูกชาย – อำนาจแท้จริงยังอยู่ในมือพ่อ
ในปี 2566 หลังจากปกครองกัมพูชามายาวนานถึง 38 ปี ฮุน เซน ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งลูกชายคนโต “ฮุน มาเนต” ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำคนใหม่ ภายหลังพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย ท่ามกลางคำวิจารณ์ว่า “ไม่ยุติธรรม” เพราะฝ่ายค้านหลักถูกห้ามลงสมัคร
ฮุน มาเนต วัย 45 ปี มีโปรไฟล์ไม่ธรรมดา – จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย West Point สหรัฐฯ ต่อด้วยปริญญาโทจาก NYU และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยบริสตอล สหราชอาณาจักร สาขาเศรษฐศาสตร์ ก่อนกลับมารับตำแหน่งสำคัญในกองทัพอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายฝ่ายชี้ว่า อำนาจที่แท้จริงยังคงอยู่ในมือของ “ฮุน เซน” ซึ่งแม้จะลาออกจากตำแหน่งผู้นำรัฐบาล แต่ยังคงนั่งในสภาและเป็นผู้ควบคุมเบื้องหลังทางการเมือง
ผู้นำรุ่นใหม่ – หน้าใหม่ แต่ระบบเก่า?
ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชน เช่น Human Rights Watch เตือนว่า แม้ฮุน มาเนตจะเป็นผู้นำรุ่นใหม่ แต่แนวโน้มคือจะเดินตามรอยพ่อในการควบคุมอำนาจโดยเบ็ดเสร็จ อาจมีการเพิ่มบทบาททางทหารในการจัดการฝ่ายตรงข้าม ขณะที่พรรค CPP ยังคงยึดอำนาจอย่างเหนียวแน่น
นักวิชาการบางรายเปรียบเทียบสถานการณ์ในกัมพูชาว่า อาจเดินรอยคล้ายเกาหลีเหนือหรือซีเรีย ที่ผู้นำส่งต่ออำนาจให้ลูกโดยยังควบคุมประเทศจากเบื้องหลัง
บทสรุป: ความมั่งคั่งที่แลกมากับประชาธิปไตยที่หายไป?
กรณีของตระกูลฮุน เซน สะท้อนภาพใหญ่ของปัญหาในกัมพูชาอย่างชัดเจน – เมื่อความมั่งคั่งกระจุกอยู่ในมือของคนกลุ่มเดียว ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงยากจน ระบบการเมืองที่ไม่เปิดกว้าง การละเมิดสิทธิประชาชน และกลไกตรวจสอบที่ไร้พลัง
แม้พวกเขาจะเตรียม “ทางหนีทีไล่” ด้วยพาสปอร์ตยุโรปและทรัพย์สินในต่างประเทศ แต่คำถามสำคัญยังคงอยู่: จะมีวันที่ประชาชนกัมพูชาได้เห็นผู้นำที่แท้จริงรับผิดชอบต่อประเทศ มากกว่าตระกูลและผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่?












