เพื่อไทยขยับ! เตรียมเกลี่ยเก้าอี้ใหม่ ไร้เงาภูมิใจไทยร่วม ครม.
พรรคเพื่อไทยรุกหนัก! เกลี่ยสัดส่วน ครม. ใหม่ ไม่มีชื่อภูมิใจไทยร่วม – อนุทินปัดดีล “สลับเก้าอี้” กระทรวงใหญ่
สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง เมื่อพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ได้เคลื่อนไหวครั้งสำคัญด้วยการเตรียม “เกลี่ยตำแหน่งคณะรัฐมนตรี” (ครม.) ใหม่ โดยไม่มีพรรคภูมิใจไทยร่วมอยู่ในสัดส่วนอีกต่อไป หลังการเจรจาระหว่างสองพรรคใหญ่ในรัฐบาลผสมดูเหมือนจะ “จบไม่สวย” จากข้อเสนอแลกเปลี่ยนเก้าอี้รัฐมนตรีระหว่างกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุข
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง: ดีลสลับกระทรวง
กระแสดังกล่าวเริ่มร้อนแรงเมื่อมีรายงานว่าพรรคเพื่อไทยได้ยื่นข้อเสนออย่างไม่เป็นทางการ ไปยังนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และรองนายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้คืนเก้าอี้ “รัฐมนตรีมหาดไทย” กลับมาให้พรรคเพื่อไทย
ในข้อเสนอดังกล่าว พรรคเพื่อไทยเสนอว่า หากพรรคภูมิใจไทยคืนตำแหน่งกระทรวงมหาดไทย ก็จะได้รับการสนับสนุนให้นั่งบริหารกระทรวงสาธารณสุขแทน และอาจรวมถึงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย
โดยได้มีการกำหนด “เดดไลน์” อย่างไม่เป็นทางการให้พรรคภูมิใจไทยตอบรับข้อเสนอภายในเวลา 15.00 น. ของวันที่ 19 มิถุนายนนี้ เพื่อให้สามารถสรุปรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ทันตามกำหนดการที่วางไว้
อนุทินไม่รอเส้นตาย – ปัดทันที
แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ข้อเสนอดังกล่าวต้องพังทลายลงอย่างรวดเร็ว เมื่อนายอนุทินออกมาเปิดเผยว่า เขาได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวทันที โดยไม่รอถึงกำหนดเส้นตายของพรรคเพื่อไทย
“พอได้รับข้อเสนอก็ปฏิเสธไปทันทีตอนบ่ายสามของเมื่อวาน” นายอนุทินกล่าวกับสื่อ พร้อมระบุว่า การเสนอให้แลกกระทรวงกันแบบนี้ “ไม่เหมาะสม” และไม่มีเหตุผลที่พรรคภูมิใจไทยจะต้องยอมแลกตำแหน่งที่ตนเองดูแลอยู่
การตอบกลับของนายอนุทินเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลทั้งสอง เริ่มมีรอยร้าวเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพื่อไทยเดินหน้า – ไม่มีภูมิใจไทยใน ครม. ชุดใหม่
ต่อเนื่องจากจุดยืนที่แข็งกร้าวของนายอนุทิน ล่าสุด เพจ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเปิดเผยความเคลื่อนไหวสำคัญของพรรคเพื่อไทย โดยระบุว่า พรรคเพื่อไทยได้ตัดสินใจ “จัดสรรตำแหน่งคณะรัฐมนตรีใหม่” โดยที่ “ไม่มีรายชื่อของพรรคภูมิใจไทยอยู่ใน ครม.”
นั่นหมายความว่า รายชื่อรัฐมนตรีที่เตรียมทูลเกล้าฯ ในเร็ว ๆ นี้ จะไม่ปรากฏชื่อของบุคคลจากพรรคภูมิใจไทยอีกต่อไป ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในรัฐบาลชุดปัจจุบัน และอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะกลางถึงยาว
ความเคลื่อนไหวฝั่ง “นายหญิง” – ยิ่งลักษณ์มีบทบาท?
อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือ รายงานข่าวจากแหล่งข่าวทางการเมืองซึ่งระบุว่า จะมีกลุ่มบุคคลบางส่วนภายในพรรคเพื่อไทย เดินทางไปยังฮ่องกงในช่วงสุดสัปดาห์นี้ เพื่อพบกับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
การเดินทางครั้งนี้ถูกจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากตรงกับช่วงวันคล้ายวันเกิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และอาจเป็นเวทีลับในการหารือทิศทางการเมืองระหว่างผู้มีอำนาจเบื้องหลังกับแกนนำพรรคฯ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้น
แม้ว่าในทางปฏิบัติพรรคร่วมรัฐบาลจะต้องมีการเจรจาอย่างประนีประนอม แต่กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งเชิงอำนาจระหว่างพรรคการเมืองที่มีฐานเสียงคนละกลุ่ม เป้าหมายคนละทิศ
1. กระทรวงมหาดไทย ถือเป็นกระทรวงใหญ่ มีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมกลไกท้องถิ่น ทุนการเมือง และการเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในมือพรรคการเมืองใหญ่
2. กระทรวงสาธารณสุข แม้มีงบประมาณสูงและบทบาทชัดเจนในสาธารณสุขระดับชาติ แต่ในมุมของพลังการเมืองอาจไม่เทียบเท่ามหาดไทย
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่พรรคภูมิใจไทยจะยืนกรานไม่ยอมสลับกระทรวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกระทรวงมหาดไทยอยู่ในความควบคุมของพรรคฯ มายาวนาน และสามารถสร้าง “อำนาจแฝง” ได้ในระยะยาว
ในขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยเองก็อาจรู้สึกถึงแรงกดดันภายในพรรคจากฐานเสียงของตน ที่ต้องการควบคุมกระทรวงที่มีผลต่อการเมืองระดับพื้นที่ เช่น กระทรวงมหาดไทย เพื่อวางรากฐานให้การเลือกตั้งครั้งถัดไป
ก้าวต่อไปของภูมิใจไทย?
คำถามสำคัญในตอนนี้คือ พรรคภูมิใจไทยจะดำเนินท่าทีอย่างไร หากไม่มีตำแหน่งใน ครม. ชุดใหม่?
จะถอนตัวออกจากรัฐบาลหรือไม่?
หากพรรคภูมิใจไทยเลือกเดินออกจากรัฐบาล ก็อาจทำให้รัฐบาลเพื่อไทยสูญเสียเสียงสนับสนุนจำนวนหนึ่งในสภา ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพในการบริหาร
หรือจะเล่นบทฝ่ายค้านแบบไม่เป็นทางการ?
พรรคภูมิใจไทยอาจเลือกใช้ยุทธศาสตร์ “ฝ่ายค้านแบบไม่ถอนตัว” ด้วยการไม่ส่งรัฐมนตรี แต่ยังอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อลดความเสียหายเชิงภาพลักษณ์ และคงอิทธิพลบางส่วนไว้
หรืออาจเกิดการเจรจารอบใหม่?
หากการปรับ ครม. ยังมีช่องให้เจรจา พรรคภูมิใจไทยอาจเรียกร้องข้อต่อรองที่คุ้มค่ากว่าเดิม เพื่อแลกกับการไม่แสดงท่าทีต่อต้านรัฐบาลอย่างชัดเจน
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในครั้งนี้อาจยังไม่ถึงขั้น “แตกหัก” แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “สงครามเย็น” ภายในรัฐบาลผสม ที่มีความซับซ้อนทางผลประโยชน์แฝงอยู่มากมาย
สถานการณ์ยังมีแนวโน้มที่จะพลิกผันอีกหลายตลบ ไม่ว่าจะด้วยการเจรจาใต้โต๊ะ หรือการสื่อสารผ่านสื่อเพื่อกดดันอีกฝ่าย
แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ การเมืองไทยยังคงเป็นเกมของการแบ่งปันผลประโยชน์ และกระทรวงหลัก ๆ ที่มีอำนาจต่อระบบราชการ ยังคงเป็นหมากตัวใหญ่ในเกมที่ทุกฝ่ายต้องการครอบครอง












