นายกฯ โพสต์ปริศนา ก่อนลบทิ้ง! เตรียมเข้าทำเนียบฯ ท่ามกลางกระแสเดือด
ดราม่าเช้านี้! นายกฯ แพทองธาร โพสต์ “คนไม่ได้แกล้งเศร้า แต่แกล้งโอเค” ก่อนลบทิ้ง ยกเลิกประชุมทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก กะทันหัน เข้าทำเนียบต่อทันที
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวสายทำเนียบรัฐบาลรายงานถึงความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยจากตระกูลชินวัตร ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ท่ามกลางกระแสข่าวร้อนแรงและแรงกดดันทางการเมืองรอบด้าน โดยเฉพาะกรณีคลิปเสียงที่กำลังเป็นประเด็นในสังคม รวมถึงแรงวิจารณ์ในโลกโซเชียลและจากฝ่ายค้านที่เริ่มยกระดับการตรวจสอบบทบาทและพฤติกรรมการใช้อำนาจของผู้นำประเทศรายนี้
เช้าวันนี้ เวลาประมาณ 08.15 น. ปรากฏว่าอินสตาแกรมสตอรี่ส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี มีการโพสต์ข้อความภาษาอังกฤษ ที่สื่อความหมายได้อย่างลึกซึ้งและชวนให้ตีความไปต่าง ๆ นานา โดยข้อความดังกล่าวระบุว่า:
“People don’t fake depression.
They fake being okay. Remember that. Be kind.”
ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า
“ผู้คนไม่ได้แกล้งเศร้า แต่แกล้งว่าตัวเองโอเคต่างหาก จงจำไว้นะ จงมีเมตตา”
นอกจากข้อความที่ดูเหมือนจะสื่อสารเชิงจิตวิทยาแล้ว ยังมีการแนบเพลง “Another Love” ของ Tom Odell ไว้ในสตอรี่นั้นอีกด้วย ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่ขึ้นชื่อในเรื่องของเนื้อหาเกี่ยวกับความผิดหวัง ความเศร้า และการแบกรับความรู้สึกต่าง ๆ ไว้ในใจอย่างเดียวดาย
อย่างไรก็ตาม ภายในเวลาไม่ถึง 40 นาที หลังจากโพสต์นั้นถูกเผยแพร่ออกไป ก็พบว่าสตอรี่ดังกล่าวถูกลบออกจากอินสตาแกรมของนายกรัฐมนตรีแล้วในเวลา 08.54 น. โดยไม่มีการชี้แจงใด ๆ จากทีมงานหรือจากตัวนายกฯ เอง ทำให้เกิดการตั้งคำถามและกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียลมีเดีย
กระแสในโซเชียล: โพสต์นี้ต้องการสื่ออะไร? หรือสะท้อนภาวะกดดันทางจิตใจของผู้นำประเทศ?
หลังจากมีการเผยแพร่โพสต์ดังกล่าว โลกออนไลน์ต่างพากันตั้งข้อสังเกตถึงเจตนาเบื้องหลังโพสต์นั้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สถานการณ์ทางการเมืองของรัฐบาลอยู่ในภาวะที่อ่อนไหวและกดดันจากหลายฝ่าย
หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ข้อความดังกล่าวอาจไม่ใช่เพียงการแชร์วาทกรรมทั่วไปเพื่อเตือนสติหรือส่งเสริมให้ผู้คนมีความเมตตาเท่านั้น แต่อาจสะท้อนถึงความรู้สึกภายในใจของผู้นำประเทศคนปัจจุบัน ที่อาจกำลังเผชิญกับความเครียด แรงกดดัน หรือภาวะ “burn out” ในการบริหารประเทศท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะกรณีคลิปเสียงสนทนา 17 นาที ระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งกลายเป็นข่าวใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำพูดในโพสต์ที่ว่า “คนไม่ได้แกล้งเศร้า แต่แกล้งว่าตัวเองโอเค” อาจถูกตีความว่าเป็นการเปรยความรู้สึกของผู้ที่ต้องฝืนยิ้ม ฝืนทำงาน และแสดงออกว่า “รับมือไหว” ทั้งที่ภายในอาจกำลังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและความเครียดอย่างหนัก
ยกเลิกประชุมทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีกะทันหัน เดินทางเข้าทำเนียบโดยไม่ระบุเหตุผล
ความเคลื่อนไหวอีกประเด็นหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าวันเดียวกัน ก็คือการ “ยกเลิก” ภารกิจการประชุมประจำวันพฤหัสบดีของทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งปกติจะจัดขึ้นที่บ้านพิษณุโลก โดยไม่มีการระบุเหตุผลอย่างชัดเจนว่าเหตุใดจึงมีการเปลี่ยนแปลงตารางงานกะทันหันเช่นนี้
หลังยกเลิกการประชุมดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเข้าปฏิบัติภารกิจต่อที่ทำเนียบรัฐบาลทันทีในเวลาเช้า สร้างความประหลาดใจให้กับผู้สื่อข่าวสายทำเนียบ และทีมงานที่เตรียมพร้อมรอการประชุมอยู่ที่บ้านพิษณุโลก
ประเด็นนี้ยิ่งตอกย้ำข้อสงสัยในหมู่ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีกำลังเผชิญกับแรงกดดันอะไรอยู่หรือไม่ มีเหตุฉุกเฉินบางอย่างภายในคณะรัฐมนตรี หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงภายในทีมที่ปรึกษา ซึ่งอาจเกี่ยวโยงกับสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้
การเมืองกับสุขภาพจิตของผู้นำ: เส้นบาง ๆ ที่ถูกละเลย
แม้ผู้นำประเทศจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของชาติ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้นำก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีภาระความรับผิดชอบมหาศาล ต้องแบกรับแรงกดดันจากทุกด้าน ทั้งจากการเมือง ฝ่ายค้าน ประชาชน เครือข่ายภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน
การโพสต์ข้อความที่มีเนื้อหาเชิงจิตวิทยาอย่าง “อย่าลืมว่า คนไม่ได้แกล้งเศร้า แต่แกล้งโอเค” จึงไม่ควรมองเพียงเป็นแค่เรื่องส่วนตัว หรือสื่อเพื่อความรู้สึกเท่านั้น แต่ควรได้รับความสนใจจากทั้งสื่อ และสังคมในแง่ของ “ภาวะสุขภาพจิตของผู้นำ” ซึ่งอาจสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ลึกซึ้งกว่านั้น เช่น ขาดระบบสนับสนุนทางจิตวิทยาภายในทีม, ไม่มีที่ปรึกษาที่กล้าตักเตือน หรือแม้แต่ภาวะความโดดเดี่ยวที่มักเกิดกับผู้บริหารระดับสูง
บทสรุป: โพสต์ที่สะท้อนมากกว่าแค่ “อารมณ์ชั่วขณะ”
แม้โพสต์ในอินสตาแกรมของนายกรัฐมนตรีจะถูกลบไปอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือ “คำถาม” และ “ความรู้สึกสะเทือนใจ” ของประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ได้เห็นข้อความนั้นในช่วงเช้า
ในสังคมที่การเมืองและความคาดหวังสูงถูกโยนเข้าใส่ผู้นำอย่างไม่หยุดหย่อน โพสต์นี้อาจเป็นเหมือนเสียงสะท้อนเล็ก ๆ ที่บอกกับเราว่า แม้กระทั่งผู้นำประเทศก็ต้องการ “พื้นที่ปลอดภัย” ที่จะพูดถึงความรู้สึกของตัวเองโดยไม่ต้องถูกตัดสิน
และหากสังคมไทยต้องการผู้นำที่เข้มแข็งในเชิงนโยบาย ก็ควรเปิดพื้นที่ให้ความอ่อนแอเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ไม่ใช่สิ่งต้องซ่อนหรือหลบเลี่ยงเสมอไป
หากคุณเคยรู้สึก “แกล้งว่าโอเค” ลองถามตัวเองอีกครั้งว่า คุณดูแลจิตใจตัวเองดีพอหรือยัง เช่นเดียวกับผู้นำที่กำลัง “แกล้งว่าโอเค” ในวันที่ประเทศเผชิญคลื่นแรงของการเปลี่ยนแปลง












