แรงไม่พัก! แพรรี่ โพสต์ทันควัน ปมคลิปเสียงนายกฯ – คอมเมนต์สนั่นไทม์ไลน์
"คลิปเสียงสะเทือนรัฐบาล" แพทองธารยอมรับของจริง – ไพรวัลย์ฟาดแรง ซัดอย่าเป็นหมากในเกมฮุนเซน
นับเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ทางการเมืองที่สะเทือนทั้งทำเนียบรัฐบาลและโซเชียลมีเดียอย่างรุนแรง เมื่ออดีตผู้นำกัมพูชา “สมเด็จฮุนเซน” ได้ออกมาเผยแพร่คลิปเสียงบทสนทนายาวถึง 17 นาที ซึ่งอ้างว่าเป็นการพูดคุยระหว่างตนกับนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือที่ประชาชนคุ้นชื่อในนาม “อุ๊งอิ๊ง” ผ่านทางแพลตฟอร์มของสื่อกัมพูชาเอง
ภายในคลิปเสียงดังกล่าว มีเนื้อหาหลากหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับ “พรมแดนไทย-กัมพูชา” และการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ ที่สถานการณ์ชายแดนมีการเคลื่อนไหวของทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ทหารอย่างต่อเนื่อง
แต่สิ่งที่ทำให้ประเด็นนี้ไม่อาจมองข้ามได้ คือ “การยอมรับ” ของนายกรัฐมนตรีหญิงของไทยว่า คลิปเสียงดังกล่าวเป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอม ไม่ได้ตัดต่อ ซึ่งแม้จะมีการชี้แจงว่าเป็นบทสนทนาที่มีเนื้อหาเชิงมิตรภาพ และแสดงถึงความร่วมมือ แต่หลายฝ่ายกลับมองว่า เนื้อหาในบางช่วงตอนอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคง และอธิปไตยของประเทศ อีกทั้งการที่ผู้นำประเทศอื่นมาเปิดเผยคลิปเสียงฝ่ายเดียวโดยไม่ได้รับความยินยอม ทำให้ประชาชนเกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับความเหมาะสมและผลกระทบทางการทูต
เสียงสะท้อนจากสังคม: เมื่อประชาชนไม่เงียบอีกต่อไป
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่กระจายบนโลกออนไลน์ โซเชียลแทบระเบิด ชาวเน็ตหลายหมื่นคนพร้อมใจกันตั้งคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมของการสนทนาในคลิป รวมถึงบทบาทของผู้นำประเทศที่ควรจะปกป้องศักดิ์ศรีของชาติในสถานการณ์เช่นนี้
โดยเฉพาะในหมู่ประชาชนรุ่นใหม่ที่ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ต่างพากันแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมของการเปิดเผยคลิปเสียงนี้ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจงอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และไทยจะดำเนินท่าทีอย่างไรต่อกรณีนี้
และหนึ่งในเสียงสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดก็มาจาก “ไพรวัลย์ วรรณบุตร” อดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง และนักแสดงผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์ ที่ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นต่อประเด็นนี้แบบไม่ไว้หน้าใคร
ไพรวัลย์ฟาดตรง: อย่าเป็นหมากในเกมการเมืองของใคร
ไพรวัลย์โพสต์ข้อความในเชิงตำหนิอย่างรุนแรงต่อบทบาทของนายกรัฐมนตรีไทยที่ตกเป็น “ตัวแสดง” ในคลิปเสียงดังกล่าวว่า
“ท่านก็รู้ว่าสิ่งที่ฮุนตุ้ยทำ ก็เพื่อคะแนนนิยมของตัวเอง ไม่ได้เพื่อมิตรไมตรีหรือความจริงใจอะไร แล้วท่านยังจะไปเป็นตัวตลก เป็นหมากในเกมส์ให้เค้าอีกเหรอคะ?”
โพสต์ดังกล่าวกลายเป็นกระแสทันที มีชาวเน็ตเข้ามากดไลก์ กดแชร์ และแสดงความคิดเห็นอย่างล้นหลาม หลายคนเห็นด้วยว่าผู้นำประเทศไม่ควรตกเป็นเครื่องมือในเกมทางการเมืองของประเทศอื่น โดยเฉพาะในยุคที่ประชาชนมีความหวังกับผู้นำหน้าใหม่อย่างอุ้งอิ้ง ที่ได้รับฉายาว่า “ความหวังของประชาชน” จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ไพรวัลย์ยังโพสต์เพิ่มเติมในอีกข้อความหนึ่งว่า
“ถ้าท่านลำบากใจในการบริหารประเทศ เพราะท่านดันมีศักดิ์เป็นหลานสาวของพวกหอกข้างแคร่ ซึ่งดูเหมือนว่าเค้าก็ไม่ได้มีความให้เกียรติและเกรงใจท่านเท่าไหร่ ท่านก็ยุบสภาแล้วให้คนอื่นมาจัดการเถอะค่ะ”
คำพูดนี้ถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่ตีแสกหน้าทางการเมืองชัดเจน ด้วยการตั้งคำถามถึงบทบาทของนายกรัฐมนตรีหญิงที่อาจถูกแทรกแซง หรืออยู่ภายใต้อิทธิพลของ “เครือญาติ” ที่เคยมีอำนาจในอดีต แต่ยังมีเงาทางการเมืองอยู่ในปัจจุบัน
คำถามใหญ่: ผู้นำหญิง หรือเงาของอดีตผู้นำ?
คำถามที่หลายคนเริ่มตั้งขึ้นก็คือ “นายกรัฐมนตรีหญิง” คนแรกของประเทศไทย กำลังทำหน้าที่ในฐานะผู้นำของประชาชน หรือกำลังตกเป็นเงาของอดีตผู้นำในเครือญาติอย่างที่หลายฝ่ายวิจารณ์?
ประเด็นนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของคลิปเสียงอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นในผู้นำ, ศักดิ์ศรีของประเทศ และทิศทางการเมืองไทยในอนาคต หากประชาชนเริ่มรู้สึกว่าผู้นำไม่ได้ตัดสินใจอย่างอิสระ หรือกำลังถูกบงการโดยเบื้องหลังบางอย่าง ก็ย่อมเกิดความหวาดระแวง และส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สรุป: เกมการเมืองที่ไม่ควรมีคนไทยเป็นเหยื่อ
คลิปเสียง 17 นาทีที่ถูกปล่อยโดยสมเด็จฮุนเซน อาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายเกมการเมืองระดับภูมิภาคที่ประเทศเพื่อนบ้านกำลังเล่น แต่สิ่งที่น่าห่วงคือคนไทยอาจตกเป็น “ตัวแสดงรอง” หรือ “หมากเบี้ย” ในกระดานของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่ประชาชนต้องการเห็นในตอนนี้คือ “ความกล้าหาญ” ของผู้นำในการชี้แจง ชี้ชัด และแสดงความเด็ดขาดว่าผู้นำไทยจะไม่ตกเป็นเหยื่อ หรือยอมให้ศักดิ์ศรีของประเทศถูกลดทอนในเวทีใด ๆ ก็ตาม
และในขณะเดียวกัน สังคมก็ควรตั้งคำถามต่อไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงเพื่อมองหาคำตอบจากรัฐบาลเท่านั้น แต่เพื่อยืนยันว่า ในระบอบประชาธิปไตย “เสียงของประชาชน” ยังทรงพลัง และสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้นได้ โดยไม่ต้องรอให้ใครมาเป็นตัวแทนอีกต่อไป















