ไม่ธรรมดา! มือสังหารทหารลาดตระเวนบันนังสตา อาวุธที่ใช้ทำช็อกทั้งหน่วย
วิกฤตปลายด้ามขวานเดือดอีกครั้ง! มือสไนเปอร์ลอบยิงทหารดับที่บันนังสตา - ลักษณะ "ล่าแต้ม" หวั่นปะทุความรุนแรงระลอกใหม่
วันที่ 17 มิถุนายน 2568 เวลาประมาณ 13.40 น. พื้นที่ปลายด้ามขวานไทยต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อเกิดเหตุลอบซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหาร ขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยในพื้นที่บ้านวังหิน ตำบลบันนังสตา อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ส่งผลให้ พลทหารภาคม สูเดิน อายุ 22 ปี สังกัดกองร้อย.ร.ที่ 1 เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที
เหตุการณ์สะเทือนใจครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่ความสูญเสียของครอบครัวผู้เสียชีวิตเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความอันตรายและซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและมีการพัฒนาขีดความสามารถในการก่อเหตุอย่างน่ากังวล
ภารกิจลาดตระเวนที่ไม่เคยปลอดภัย – ลอบยิงจากระยะไกลด้วยความแม่นยำสูง
ข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองในพื้นที่ระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนี้น่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่อำเภอบันนังสตา ซึ่งมีประวัติการลอบซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจชุดลาดตระเวนมาแล้วหลายครั้ง โดยแต่ละครั้งมักก่อเหตุสำเร็จ สร้างความสูญเสียให้กับฝ่ายความมั่นคงแทบทุกครั้ง
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ลักษณะของการก่อเหตุในครั้งนี้มีความคล้ายคลึงกับยุทธวิธีแบบ "ล่าแต้ม" หรือ Targeted Kill ซึ่งมีการวางแผนอย่างแยบยล และมักใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูงอย่าง “สไนเปอร์” หรือปืนยิงจากระยะไกล โดยในกรณีนี้ เจ้าหน้าที่พบหลักฐานจากภาพกล้องเล็งในพื้นที่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามือปืนลงมือจากระยะไกล พร้อมความแม่นยำที่สูงเกินกว่าความสามารถของมือสมัครเล่น
มือสไนเปอร์ระดับสูง! หน่วยข่าวกรองชี้ต้องผ่านการฝึกมาอย่างเชี่ยวชาญ
จากการวิเคราะห์ของหน่วยข่าวในพื้นที่เชื่อว่า มือปืนรายนี้น่าจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของเครือข่าย นายอับดุลเลาะ ตาเปาะโต๊ะ แกนนำระดับปฏิบัติการในพื้นที่ ที่มีความเคลื่อนไหวในอำเภอบันนังสตา โดยนายอับดุลเลาะถูกจับตามองมาอย่างยาวนานว่าเป็นผู้มีบทบาทในการวางแผนและสนับสนุนการก่อเหตุลักษณะลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐ
ในกรณีนี้ สันนิษฐานว่าคนร้ายน่าจะใช้อาวุธปืนสไนเปอร์ ที่มีพิสัยไกลและสามารถเล็งเป้าหมายจากระยะไกลได้อย่างแม่นยำ จึงเชื่อได้ว่า มือปืนรายนี้ต้องได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี มีทักษะระดับสูง ซึ่งแม้แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงบางหน่วยยังไม่สามารถใช้อาวุธในลักษณะนี้ได้เทียบเท่า
สถานการณ์น่าเป็นห่วง – อาจมีเหยื่อเพิ่มอีก หากไม่สามารถจับกุมมือปืนได้
เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองแสดงความกังวลว่า หากยังไม่สามารถระบุตัวและจับกุมหรือวิสามัญมือสไนเปอร์รายนี้ได้ทันเวลา อาจจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก โดยอาจมีเจ้าหน้าที่ หรือแม้กระทั่งประชาชนผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเป้าหมายในการล่าแต้มของกลุ่มก่อความไม่สงบ ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับหน่วยงานความมั่นคงที่ต้องปฏิบัติภารกิจในพื้นที่เสี่ยงสูงเช่นนี้
รูปแบบการก่อเหตุที่เน้นความแม่นยำและเลือกเป้าหมายอย่างชัดเจน ทำให้หลายฝ่ายประเมินว่านี่ไม่ใช่การก่อเหตุแบบสุ่มหรือฉวยโอกาส แต่เป็นแผนที่วางมาอย่างมีระบบ ใช้กำลังคนที่ผ่านการฝึกมาเฉพาะทาง และเป็นการแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบ เพื่อท้าทายศักยภาพของรัฐ
ความท้าทายใหม่: โดรนสังหาร และสไนเปอร์ - อาวุธยุทธวิธีที่เพิ่มดีกรีความรุนแรง
สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่ปลายด้ามขวานยิ่งน่ากังวลมากขึ้น คือรายงานจากหน่วยข่าวในพื้นที่ซึ่งระบุว่า ขณะนี้กลุ่มก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มมีการนำ อาวุธยุทธวิธีทันสมัย มาใช้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “โดรนสังหาร” และ “สไนเปอร์” ซึ่งอาจกลายเป็นอาวุธประจำการใหม่ที่สร้างความเสียหายได้รุนแรงกว่าที่ผ่านมา
หากกลุ่มเหล่านี้สามารถพัฒนาและผลิต หรือจัดหายุทโธปกรณ์ขั้นสูงได้มากขึ้น จะยิ่งยกระดับการก่อเหตุให้ยากแก่การคาดเดาและควบคุม เจ้าหน้าที่ในพื้นที่จะต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ ๆ ให้เท่าทัน รวมทั้งพัฒนาขีดความสามารถในการสอดแนม เฝ้าระวัง และตอบโต้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เส้นทางของพลทหารภาคม – จากภูเก็ตสู่ชายแดนใต้
พลทหารภาคม สูเดิน ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ลอบยิงครั้งนี้ เป็นชายหนุ่มอายุเพียง 22 ปี จากจังหวัดภูเก็ต ที่อาสาเข้ารับราชการทหารเพื่อรับใช้ชาติ และได้ถูกส่งมาประจำการในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ปฏิบัติการเสี่ยงระดับสูง
เบื้องต้น มีการเตรียมเคลื่อนย้ายศพของพลทหารภาคมกลับภูมิลำเนาที่จังหวัดภูเก็ตในช่วงค่ำของวันที่เกิดเหตุ หรือภายในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 โดยจะมีพิธีตามขั้นตอนของกองทัพ และอาจมีการประกาศยกย่องความกล้าหาญในการปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้
เสียงสะท้อนจากประชาชน – ความหวาดกลัวที่ไม่เคยหายไป
ประชาชนในพื้นที่บันนังสตาและจังหวัดใกล้เคียง ยังคงใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวง โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวเหตุการณ์ลอบยิงหรือการโจมตีเจ้าหน้าที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง หลายครอบครัวหลีกเลี่ยงการเดินทางออกจากบ้านในช่วงเวลาเสี่ยง และบางรายถึงขั้นย้ายออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย
แม้รัฐบาลจะพยายามสร้างความเชื่อมั่นและฟื้นฟูพื้นที่มาโดยตลอด แต่เหตุการณ์เช่นนี้ยังคงบั่นทอนความรู้สึกปลอดภัยของประชาชนอย่างรุนแรง อีกทั้งยังส่งผลต่อภาพรวมของการพัฒนาในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การศึกษา หรือสังคม
ต้องเร่งจัดการ ก่อนสถานการณ์บานปลาย
เหตุลอบยิงที่บันนังสตาในวันที่ 17 มิถุนายน 2568 เป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนใต้ยังไม่จบ และยังคงมีแนวโน้มจะยกระดับความรุนแรงขึ้น หากฝ่ายความมั่นคงไม่สามารถรับมือกับยุทธวิธีใหม่ของกลุ่มก่อความไม่สงบได้ทัน
การสูญเสียพลทหารภาคม สูเดิน คือบทเรียนสำคัญที่ไม่ควรถูกมองข้าม และควรเป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวนยุทธศาสตร์ในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ปลายด้ามขวาน ให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของภัยคุกคามที่ซับซ้อนและอันตรายยิ่งขึ้นทุกวัน












