กัมพูชาสวนกลับ! ไทยตัดไฟ-เน็ต ก็ไม่ถอย ปมพิพาทชายแดน
โฆษกกัมพูชาประกาศชัด! ไทยตัดไฟ-ตัดเน็ตไม่เปลี่ยนจุดยืน ชี้แค่ซ้ำเติมความตึงเครียด ปมพิพาทชายแดน
ประเด็นความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชากลับมาร้อนระอุอีกครั้ง หลังมีรายงานว่าฝ่ายไทยอาจใช้มาตรการตัดกระแสไฟฟ้าและตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ชายแดนติดกับกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีข้อพิพาทเรื้อรังระหว่างสองประเทศ ทำให้รัฐบาลกัมพูชาโดยกระทรวงการต่างประเทศต้องออกแถลงการณ์อย่างชัดเจน พร้อมยืนยันว่า “มาตรการเชิงกดดันดังกล่าว” ไม่อาจทำให้รัฐบาลกัมพูชาเปลี่ยนจุดยืนในกรณีพิพาทเขตแดนได้
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 เว็บไซต์ Khmer Times ของกัมพูชา รายงานคำแถลงของ นางชุม สุนรี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ซึ่งออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยและแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อแนวคิดของรัฐบาลไทยในการใช้มาตรการที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “การตัดช่องทางการสื่อสารและพลังงาน” ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญของการดำรงชีวิตและการพัฒนาพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ทั้งสองประเทศยังไม่มีการปักปันเขตแดนอย่างสมบูรณ์
“ไม่เปลี่ยนจุดยืน” คือคำตอบที่ชัดเจนจากฝั่งกัมพูชา
ในแถลงการณ์ นางชุม สุนรี ย้ำอย่างหนักแน่นว่า การตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตจะไม่ทำให้รัฐบาลกัมพูชาเปลี่ยนจุดยืนในกรณีข้อพิพาทเขตแดน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่มอมเบย (สามเหลี่ยมมรกต), ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมืองโต๊ด หรือปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยมีประวัติการขัดแย้งและเกิดเหตุปะทะกันในอดีต
“รัฐบาลกัมพูชาได้แสดงความมุ่งมั่นในการร่วมมือกับฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย (JBC) เพื่อส่งเสริมการจัดทำแผนที่ การปักปันเขตแดน และการแก้ไขข้อพิพาทโดยยึดหลักความยุติธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ” นางชุมกล่าว
ยึดหลัก MOU ปี 2543 และกลไกศาลโลกหากจำเป็น
รัฐบาลกัมพูชายังระบุว่า ในการดำเนินการเกี่ยวกับเขตแดนนั้น ฝ่ายกัมพูชายังคงยึดหลักการและข้อตกลงที่ลงนามร่วมกับฝ่ายไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะ บันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ทั้งสองประเทศได้ใช้เป็นแนวทางในการเจรจาและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน
หากไม่สามารถตกลงกันได้ผ่านกลไก JBC รัฐบาลกัมพูชายังพร้อมที่จะใช้กลไกของ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice หรือ ICJ) ในการวินิจฉัยข้อพิพาทโดยยึดหลักนิติธรรมและความยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งกัมพูชาเคยประสบความสำเร็จในการใช้กลไกนี้มาก่อนในกรณีของปราสาทพระวิหารเมื่อหลายปีก่อน
เรียกร้องสปิริตแห่งมิตรภาพและความเคารพซึ่งกันและกัน
แม้จะไม่เห็นด้วยกับมาตรการกดดันจากฝั่งไทย แต่โฆษกกัมพูชาก็เน้นย้ำว่า กัมพูชายังคงมุ่งมั่นในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ และพร้อมที่จะร่วมประชุม JBC ที่กำลังจะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ โดยขอให้การหารือดำเนินไปด้วย “จิตวิญญาณแห่งความเคารพซึ่งกันและกัน” เพื่อให้ผลประโยชน์สูงสุดเกิดขึ้นกับประชาชนทั้งสองชาติ
“รัฐบาลกัมพูชาให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และไม่เคยตั้งใจให้เกิดความขัดแย้งหรือความตึงเครียด แต่หากมีการตัดสาธารณูปโภคจริง ก็อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และความไว้วางใจของประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง” นางชุมกล่าวเสริม
การตัดไฟ-ตัดเน็ต ไม่ใช่คำตอบของยุคสมัยใหม่?
การที่มีการพูดถึงมาตรการตัดไฟฟ้าและตัดอินเทอร์เน็ตในปี 2025 นั้น ถูกมองว่าเป็นการดำเนินการที่ “ล้าสมัย” และอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนและหลักกฎหมายสากล ทั้งยังอาจขัดต่อข้อตกลงการพัฒนาพื้นที่ชายแดนร่วมกันในอนาคตอีกด้วย
ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางรายได้ให้ความเห็นว่า แนวคิดเช่นนี้อาจสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดระแวงและทำให้พื้นที่ชายแดนที่ควรเป็นสะพานแห่งการพัฒนา กลายเป็น “แนวรบทางการเมือง” ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายใดเลยในระยะยาว
บทสรุป: ความร่วมมือยังเป็นทางออกเดียว
ในยุคที่ภูมิภาคกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การที่สองประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยและกัมพูชาจะเดินหน้าสร้างความร่วมมือและลดข้อพิพาทนับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง การใช้มาตรการแข็งกร้าว เช่น การตัดสาธารณูปโภค อาจให้ผลในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจบั่นทอนความสัมพันธ์ที่สะสมมายาวนาน
กัมพูชาชัดเจนแล้วว่าพร้อมเจรจา และพร้อมร่วมมือ แต่จะไม่ยอมถอยในสิ่งที่ถือว่าเป็นสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ และยืนยันจะใช้กลไกที่มีอยู่โดยสันติวิธี
ประชาชนตามแนวชายแดนเฝ้าจับตา ท่าทีไทย-กัมพูชาใน JBC รอบหน้า
จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้สายตาของประชาชนตามแนวชายแดนและผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศต่างจับตาดูการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่จะจัดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ โดยหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถเจรจาและหาทางออกร่วมกันได้อย่างสันติ
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไทยหรือกัมพูชา หากสามารถเปลี่ยน “พื้นที่ขัดแย้ง” ให้กลายเป็น “พื้นที่แห่งโอกาส” ได้สำเร็จ ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นปัจจุบันและอนาคตของทั้งสองชาติอย่างแท้จริง





















