คุมเข้มชายแดน เห็นผลทันตา: กดดันนโยบายกัมพูชา - กวาดล้างคอลเซ็นเตอร์ - กาสิโนซบเซา
ในช่วงวันสองวันมานี้ มาตรการเข้มงวดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่เพียงแต่เป็นการส่งสัญญาณกดดันเชิงนโยบายต่อรัฐบาลกัมพูชา หากแต่ยังปรากฏผลลัพธ์ในทางปฏิบัติอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการซบเซาของธุรกิจกาสิโนในพื้นที่ชายแดน หรือการลดลงของอาชญากรรมข้ามชาติอย่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ ที่ลดลงทันทีหลังเริ่มจำกัดการเดินทางเข้า-ออก
นอกจากนี้กองบัญชาการกองทัพไทยเปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นมาตรการควบคุมการข้ามแดนเข้มงวด คดีเกี่ยวกับสแกมเมอร์และการค้ามนุษย์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลวันที่ 6 มิถุนายน พบจำนวนคดีอยู่ที่ 1,310 คดี และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 1,515 คดีในวันที่ 7 มิถุนายน แต่เมื่อเริ่มมาตรการในวันที่ 8 มิถุนายน จำนวนคดีลดลงทันทีเหลือเพียง 898 คดี หรือลดลงกว่า 31.45%
เจ้าหน้าที่ยังเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบ และประสานงานร่วมกับหน่วยความมั่นคงและตำรวจชายแดน ส่งผลให้สถานการณ์อาชญากรรมข้ามชาติเบาบางลง ถือเป็นกรณีตัวอย่างของความร่วมมือเชิงรูปธรรมที่มีผลจริง
กาสิโนเงียบเหงา คนไทยหายไปกว่าครึ่ง
และผลกระทบอีกด้านที่เห็นชัด คือความเงียบเหงาของกาสิโนฝั่งปอยเปต ซึ่งเคยเต็มไปด้วยนักพนันชาวไทย แต่วันนี้บรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
พล.ต.ต. ถาวร ดุลยวิทย์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว เปิดเผยว่า นับตั้งแต่บังคับใช้มาตรการ จำกัดการเดินทาง คนไทยที่ข้ามแดนเข้าสู่กัมพูชาลดลงจากวันละราว 8,000 คน เหลือเพียงประมาณ 4,000 คนเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ไปทำงาน และต้องปฏิบัติตามกำหนดเวลาใหม่ในการเข้า-ออก คือระหว่าง 8.00 - 16.00 น. ทำให้คนไทยนั้นไม่สะดวกที่จะข้ามไปเล่นกาสิโนแล้วนั่นเอง ทำให้กระทบต่อธุรกิจกาสิโนของทางกัมพูชาเป็นอย่างมา
ผ่อนปรนเฉพาะจุด ยึดความจำเป็นเป็นหลัก
แม้สถานการณ์จะตึงเครียด แต่ความร่วมมือระดับรากหญ้าระหว่างเจ้าหน้าที่ไทย-กัมพูชา ยังคงมีอยู่ให้เห็น โดยระหว่างการลงพื้นที่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน เจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายยังทักทาย จับมือ และถ่ายรูปเป็นสัญลักษณ์ของการทำงานร่วมกัน
ฝ่ายไทยยังคงแสดงท่าทีเปิดช่องสำหรับความยืดหยุ่น โดยมีการอนุญาตให้ผู้ป่วยที่มีเหตุผลด้านมนุษยธรรมสามารถเดินทางเข้า-ออกได้ หากได้รับการอนุมัติจากศูนย์ปฏิบัติการทัพภาคที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา และล่าสุดในวันที่ 11 มิถุนายน มีการขยายช่วงเวลาให้กลุ่มนักเรียนสามารถเดินทางผ่านด่านได้ตั้งแต่เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม การยกเลิกมาตรการทั้งหมด ยังไม่มีการกำหนดระยะเวลาอย่างเป็นทางการ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า รัฐบาลจะยังคงมาตรการนี้ไว้ต่อไป เพื่อประเมินสถานการณ์และพิจารณาท่าทีของกัมพูชาเป็นหลัก
ใช้มาตรการชายแดนเป็น “เบี้ยต่อรอง” บนโต๊ะเจรจา JBC
นอกจากนี้หลายฝ่ายยังเชื่อว่า มาตรการนี้จะถูกใช้เป็นกลไกกดดันในเวทีเจรจาคณะกรรมการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน ที่กรุงพนมเปญ โดยฝ่ายไทยต้องการผลักดันให้กลับเข้าสู่แนวทางการหารือทวิภาคีในประเด็นข้อขัดแย้ง โดยไม่ใช่กลไกอื่น เช่น การส่งเรื่องเข้าสู่ศาลโลก
ซึ่งมาตรการเข้มชายแดนไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่เครื่องมือควบคุมความมั่นคงในระดับพื้นที่ แต่ยังสะท้อนบทบาทเชิงรุกของฝ่ายไทยในการจัดการอาชญากรรมข้ามชาติ พร้อมทั้งเป็นหมากสำคัญบนกระดานการทูต ที่หวังผลให้กัมพูชาเปิดโต๊ะเจรจาอย่างจริงจัง เพื่อความสงบสุขของทั้งสองประเทศอย่างถาวรต่อไป





















