สาวเผยนาทีชีวิต! แพ้ฟิลเลอร์หน้าพังถึงขั้นแพนิค – โซเชียลเสียงแตก “ไม่ทำก็สวยอยู่แล้ว”
สาวแชร์ประสบการณ์เฉียดเสียโฉมเพราะ “แพ้ฟิลเลอร์” เตือนสาว ๆ อย่ามองข้ามสุขภาพก่อนทำสวย
เป็นอีกหนึ่งเคสเตือนใจที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Kittiya Menaruji ออกมาแชร์ประสบการณ์สุดระทึกในชีวิต หลังจากเคยผ่านเหตุการณ์เกือบเสียโฉมเพราะ “แพ้ฟิลเลอร์” อย่างรุนแรงเมื่อ 2 ปีก่อน จนต้องกลายเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินทางความงาม และต้องใช้เวลารักษาตัวนานนับสัปดาห์กว่าจะกลับมาเป็นปกติ
แม้วันนี้เธอจะหายดีแล้ว แต่บทเรียนครั้งนั้นยังคงอยู่ และเธอเลือกที่จะนำเรื่องราวทั้งหมดมาเปิดเผยเพื่อเป็น “กรณีศึกษา” ให้กับสาว ๆ ที่กำลังวางแผนจะเข้าสู่โลกแห่งการทำหัตถการเสริมความงาม
จุดเริ่มต้นของ “ความสวยที่ต้องแลก”
จากโพสต์ที่เธอเขียน เธอเล่าว่าตัวเองเป็นคนหนึ่งที่อยากดูดีขึ้น จึงตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์เป็นครั้งแรกที่บริเวณคางในปริมาณเพียง 1 cc ซึ่งตอนนั้นมีอาการบวมเล็กน้อย เธอจึงคิดว่าเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นหลังการฉีด
แต่ในครั้งที่สอง เธอตัดสินใจฉีดเพิ่มรวม 4 cc โดยแบ่งเป็นคาง 1 cc ร่องแก้ม 2 cc และที่ปาก 1 cc ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ฝังใจ เธอบอกว่า...
“ฉีดปากแค่ 1 cc แต่ร่างกายแพ้หนักมาก ปากบวมแบบปวดแสบปวดร้อน เหมือนมันจะระเบิดออกมา ทรมานที่สุดในชีวิต”
เหตุการณ์เลวร้ายหลังฉีด: “น้ำตาตกเพราะอยากสวย”
หลังจากเกิดอาการแพ้ เธอถูกส่งตัวไปรักษาทันที โดยต้องฉีดยาฆ่าเชื้อและยาสลายฟิลเลอร์ติดต่อกันนานถึง 5 วัน ใช้เวลาเกือบ 1 สัปดาห์ กว่าหน้าจะยุบลง และกว่า 2 สัปดาห์ จึงจะเริ่มกลับมาใกล้เคียงสภาพเดิม แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังรู้สึกว่าผิวบริเวณที่เคยฉีด “ไม่เหมือนเดิม 100%” เพราะมีความตึงและยืดหยุ่นน้อยลง
เธอกล่าวด้วยความเสียใจว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่จิตตกมาก ไม่กล้าออกจากบ้าน และไม่กล้าส่องกระจก
“ตอนนั้นคิดอย่างเดียวคือ ‘กูไม่น่าเลย’ เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา เสียใจมาก”
บทเรียนสำคัญ: “หมอไม่ผิด คลินิกไม่ผิด แต่เราต้องรู้จักร่างกายตัวเองให้ดีก่อน”
แม้หลายคนจะคิดว่าเป็นความผิดของแพทย์หรือคลินิก แต่เธอออกมายืนยันชัดเจนว่า ไม่ใช่ความผิดของใครเลย
“เราเคยฉีดฟิลเลอร์มาจาก 2 คลินิก คนละหมอ ใช้ฟิลเลอร์ 3 ยี่ห้อ (ม่วง ทอง ตำ) ก็แพ้ทั้งหมด สุดท้ายเราต้องยอมรับความจริงว่า ร่างกายเรานั่นแหละที่แพ้สารเหล่านี้เอง”
เธอจึงอยากให้เคสของเธอเป็นอุทาหรณ์ว่า ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรกับร่างกาย โดยเฉพาะหัตถการที่เกี่ยวกับการฉีดสารเข้าใต้ผิวหนัง ควรตรวจเช็กร่างกายให้แน่ใจก่อนว่าเราไม่มีอาการแพ้
คำแนะนำจากเจ้าตัว: “อย่าปรึกษาเพื่อนในเวลาฉุกเฉิน ให้ไปหาหมอทันที!”
อีกสิ่งหนึ่งที่เธออยากย้ำคือ อย่าเพิ่งเสียเวลาปรึกษาเพื่อน หรือโพสต์ถามในโซเชียลมีเดียว่า “ควรทำยังไงดี” ในเวลาฉุกเฉินแบบนี้ เพราะนอกจากจะไม่ได้คำตอบที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์แล้ว อาจยิ่งทำให้เครียดกว่าเดิม
“ถ้าเราไปหาหมอเร็ว รักษาเร็ว ก็มีโอกาสกลับมาเป็นปกติได้มากกว่า อย่ารอให้แย่ แล้วค่อยวิ่งหาแพทย์”
ปัจจุบัน: หายดีแล้ว แต่ยังมีความกลัว
เธอยืนยันว่าทุกวันนี้สุขภาพผิวหน้าและร่างกายโดยรวมกลับมาดีแล้ว 100% พร้อมโพสต์ภาพปัจจุบันยืนยันว่าทุกอย่างโอเคแล้ว แต่ความทรงจำในตอนนั้นยังคงอยู่ และเธอตัดสินใจงดฟิลเลอร์ตลอดชีวิต แม้ในใจจะยังอยากดูดีเหมือนเดิมก็ตาม
“มีคนทักบ่อยว่าแก้มตอบ หน้าดูโทรม อยากฉีดเติมใจจะขาด แต่มันไม่ได้แล้วค่ะ กลัวจริง ๆ”
ชาวเน็ตแห่ให้กำลังใจ พร้อมชี้ “เธอสวยอยู่แล้ว ไม่ต้องเติมอะไรเลย”
หลังจากโพสต์ถูกเผยแพร่ออกไป มีคนเข้ามาคอมเมนต์มากมาย โดยเสียงส่วนใหญ่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เธอสวยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องฉีดอะไรเพิ่มเลย” หลายคนยังขอบคุณที่เธอกล้าเปิดเผยเรื่องจริง เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่คนอื่น
นอกจากนี้ยังมีผู้สนใจอยากทราบว่าเธอแพ้ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนบ้าง ซึ่งเจ้าตัวก็ได้เปิดเผยว่า ทั้ง 3 ยี่ห้อที่เคยลอง เธอแพ้ทั้งหมด และยืนยันว่าไม่ใช่ความผิดของตัวยา เพราะแต่ละยี่ห้อล้วนผ่านการรับรอง แต่ “ร่างกายของเธอ” เป็นผู้ไม่ยอมรับสารเหล่านั้นเอง
สรุป: ความสวยคือสิทธิของทุกคน แต่อย่าลืม “ปลอดภัยไว้ก่อน”
เรื่องราวของ Kittiya Menaruji เป็นอีกหนึ่งเสียงจากผู้มีประสบการณ์จริง ที่อยากให้ผู้หญิงทุกคนตระหนักว่า “ความสวยต้องมาพร้อมความปลอดภัย” การหาข้อมูลก่อนทำหัตถการใด ๆ เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะการตรวจสุขภาพ และทดสอบการแพ้เบื้องต้น เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด “ผู้หญิงทุกคนอยากสวย แต่อย่าลืมว่า ความปลอดภัยของตัวเราเองต้องมาก่อน”

















