ไทยเอาคืน! วีซ่ากัมพูชาเหลือ 7 วัน เตรียมตัดน้ำ-เน็ต บีบบ่อนฝั่งตรงข้าม
ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาคลี่คลายในทิศทางที่ดี: ความหวังใหม่จากความร่วมมือทวิภาคีและกลไก JBC
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน เวลา 14.50 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์สำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้เกิดความตึงเครียดและข้อพิพาทในบางพื้นที่ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอยู่ในภาวะที่ละเอียดอ่อนอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม พัฒนาการล่าสุดที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศได้ส่งสัญญาณเชิงบวกที่น่าจับตามอง และอาจนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนผ่านกระบวนการสันติวิธี
การสำรวจแนวเขตและกลบคูเลตร่วมกัน: สัญญาณแห่งความร่วมมือ
จากรายงานที่ฝ่ายไทยได้รับในช่วงเย็นของวันที่ 8 มิถุนายน พบว่า กองกำลังของทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาได้ร่วมกันดำเนินการสำรวจแนวเขตพื้นที่และแนวคูเลตร่วมกัน พร้อมทั้งได้ทำการกลบฝังคูเลตตามข้อตกลง ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติตามแนวทางที่เคยตกลงกันไว้ในช่วงสถานการณ์ปกติเมื่อปี 2567 และนับเป็นพัฒนาการที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของกัมพูชาในการลดความตึงเครียด
นายนิกรเดช ระบุว่าพัฒนาการทางบวกล่าสุดนี้ไม่เพียงแสดงถึงเจตนารมณ์ที่ดีของกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศในทุกระดับ ทั้งระดับเจ้าหน้าที่ นักการทูต และหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยรัฐบาลไทยมีความหวังว่าบรรยากาศความร่วมมือเช่นนี้จะนำไปสู่ทางออกของปัญหาเขตแดนอย่างยั่งยืนในอนาคต
ความสำคัญของกลไก JBC และความหวังจากการประชุมวันที่ 14 มิถุนายน
หนึ่งในกลไกสำคัญที่มีบทบาทในการจัดการปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาคือ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission - JBC) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2543 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างทั้งสองประเทศ JBC ได้จัดการประชุมร่วมกันมาแล้วทั้งหมด 10 ครั้ง แบ่งเป็นการประชุมสมัยสามัญ 5 ครั้ง และสมัยวิสามัญ 5 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2555 ที่กรุงเทพฯ
แม้จะมีช่วงเวลาหยุดชะงักไปนานกว่า 10 ปี แต่การนัดหมายประชุม JBC ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา กลับได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะได้กลับมาเปิดโต๊ะเจรจาอย่างเป็นทางการ ซึ่งรัฐบาลไทยก็พร้อมเข้าร่วมด้วยความสุจริตใจ และหวังว่าจะได้เห็นความตั้งใจจริงจากกัมพูชาเช่นกัน
การใช้กลไกทวิภาคี: เส้นทางแห่งสันติภาพ
นายนิกรเดช เน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการใช้กลไกทวิภาคีอย่าง JBC ควบคู่กับกลไกอื่นๆ เช่น คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ทั้งในระดับทหารและพลเรือน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและลดความขัดแย้ง
นอกจากนี้ การส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศยังถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของประชาคมอาเซียนที่มุ่งเน้นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และสร้างเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค
มาตรการควบคุมชายแดนและการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ
ในด้านความมั่นคง นายนิกรเดช เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยยังคงดำเนินมาตรการควบคุมจุดผ่านแดนต่างๆ ตามการประเมินของฝ่ายความมั่นคง เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเปราะบาง
ในส่วนนี้ ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชต.) ได้เสนอให้มีการยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ เช่น การตัดกระแสไฟฟ้าและระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ส่งเข้าไปในพื้นที่ฝั่งกัมพูชาซึ่งเป็นที่ตั้งของบ่อนพนันหรือแหล่งสแกมเมอร์ รวมถึงควบคุมสินค้าและยุทโธปกรณ์ที่อาจนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ
มาตรการเหล่านี้กำลังอยู่ในระหว่างการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อพิจารณาต่อไป
ประเด็นการลดระยะเวลาวีซ่าและความสัมพันธ์ทางประชาชน
อีกหนึ่งประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจคือการที่ กัมพูชาประกาศลดระยะเวลาวีซ่าสำหรับคนไทยจาก 60 วัน เหลือเพียง 7 วัน ซึ่งทางฝ่ายไทยก็ได้ดำเนินการตอบโต้โดยลดระยะเวลาวีซ่าสำหรับคนกัมพูชาให้เหลือ 7 วันเช่นกัน แม้มาตรการนี้จะส่งผลต่อการเดินทางของประชาชน แต่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุว่ายังไม่มีการกำหนดเวลาสิ้นสุดของมาตรการนี้ และต้องรอให้สถานการณ์ดีขึ้นก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะกลับมาเจรจาอีกครั้ง
ความกังวลของประชาชนชายแดนและแนวทางลดความตึงเครียด
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความวิตกกังวลของประชาชนในพื้นที่ชายแดน ที่เริ่มมีการสร้างบังเกอร์หลบภัยเพราะเกรงว่าจะเกิดความรุนแรง นายนิกรเดชยืนยันว่า ขณะนี้ความตึงเครียดในพื้นที่ได้ลดลงอย่างมาก เนื่องจากทั้งสองฝ่ายได้มีการปรับกำลังกลับไปยังจุดเดิม และมีการกลบคูเลตตามข้อตกลง อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์จะดีขึ้น แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในภาวะเปราะบาง และต้องอาศัยความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง
ข้อพิพาท 4 พื้นที่: ยังไม่อยู่ในวาระการประชุม JBC
ในส่วนของข้อพิพาท 4 พื้นที่ที่เคยมีความเห็นต่างและถูกนำเสนอต่อศาลโลก นายนิกรเดชเปิดเผยว่า ยังไม่มีการหารืออย่างเป็นทางการในวาระการประชุม JBC ที่จะมีขึ้นเร็วๆ นี้ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังอยู่ระหว่างการพูดคุยเรื่องกรอบการประชุม แต่เชื่อว่าหากมีการเปิดใจและความยืดหยุ่น ก็อาจมีโอกาสหารือในประเด็นที่สำคัญเหล่านี้ในอนาคต
สรุป
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชากำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ โดยมีสัญญาณเชิงบวกจากทั้งสองฝ่ายที่แสดงความจริงใจในการลดความตึงเครียด และเดินหน้าหาทางออกอย่างสันติ การประชุม JBC ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญ ที่อาจนำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยอาศัยกลไกความร่วมมือ ทวิภาคี ความเข้าใจระหว่างประชาชน และการเคารพในหลักการของประชาคมอาเซียนร่วมกัน



















