ฮุนเซนโวย! ไทยปิดด่านชายแดนทำชาวบ้านเดือดร้อน ลั่นต้องรับผิดชอบ
ฮุน เซน เตือนอย่าขยายข้อพิพาทชายแดน! ไทยปิดด่านกระทบประชาชนทั้งสองประเทศ ลั่น “คนไทยต้องรับผิดชอบ”
วันที่ 8 มิถุนายน 2568 กลายเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีผู้ทรงอิทธิพลของกัมพูชา สมเด็จฮุน เซน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา ได้ออกแถลงการณ์ผ่านโซเชียลมีเดีย เรียกร้องให้ทั้งชาวกัมพูชาและชาวไทยมีสติ ไม่ขยายข้อพิพาทชายแดนให้กลายเป็นประเด็นความขัดแย้งในระดับชาติพันธุ์ พร้อมตำหนิไทยต่อเหตุการณ์การปิดด่านชายแดนที่จังหวัดสระแก้ว-ปอยเปต ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการหารือกับทางกัมพูชา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้าชายแดนและวิถีชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศ
จุดเริ่มต้นของประเด็นขัดแย้ง: โพสต์เรียกร้องให้คว่ำบาตรสินค้าจากไทย
ชนวนของความตึงเครียดครั้งนี้ เริ่มต้นจากโพสต์ในโซเชียลมีเดียของ ดวงชัย หรือ ดวง โอตคม โชรวิน บุตรชายคนโตของ ดวง จีบ นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลของกัมพูชา และผู้ที่ได้รับพระราชทานตำแหน่ง “โอคนา” ซึ่งมีสถานะเป็นผู้บริจาคหลักให้กับพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ที่มีอำนาจปกครองประเทศ
โดยโพสต์ของดวงชัยนั้น มีเนื้อหาที่เรียกร้องให้ประชาชนชาวกัมพูชาหยุดใช้สินค้าไทย เพื่อเป็นการตอบโต้ต่อความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากการปิดด่านชายแดนโดยฝ่ายไทยก่อนเวลา ทั้งนี้ ยังมีเสียงสนับสนุนจากบางฝ่ายในโซเชียลมีเดียกัมพูชาให้คว่ำบาตรสินค้าจากไทย ซึ่งสร้างความกังวลใจต่อผู้นำระดับสูงของกัมพูชา
ฮุน เซน เตือนหนัก! อย่าปลุกปั่นเกลียดชังทางเชื้อชาติ
สมเด็จฮุน เซน ไม่รอช้าที่จะออกมาแสดงจุดยืนในประเด็นนี้ โดยระบุชัดเจนว่า การเรียกร้องให้ประชาชนกัมพูชาคว่ำบาตรสินค้าไทยนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น พร้อมย้ำว่าเขาและนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนด ลูกชายของเขา ได้เรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “อย่าขยายข้อพิพาทชายแดนไปยังด้านอื่นๆ หรือปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังทางชาติพันธุ์”
เขาระบุว่า ความขัดแย้งเรื่องด่านชายแดนเป็นปัญหาเฉพาะหน้า ที่ควรได้รับการจัดการด้วยความสุขุมรอบคอบในระดับรัฐบาล ไม่ควรปล่อยให้ขยายลุกลามไปสู่ระดับที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป และโดยเฉพาะไม่ควรใช้ประเด็นชาติพันธุ์มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
“ขอเตือนทั้งชาวกัมพูชาและชาวไทยว่า หากไม่มีสินค้าไทยในตลาดกัมพูชา นั่นไม่ใช่เพราะการคว่ำบาตรโดยประชาชน แต่เป็นผลโดยตรงจากการปิดพรมแดน” — ฮุน เซน กล่าว
ฮุน เซน ชี้! ไทยต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบจากการปิดด่าน
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่สมเด็จฮุน เซนเน้นย้ำ คือ การที่ฝ่ายไทยตัดสินใจปิดด่านปอยเปตก่อนเวลากำหนดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยไม่ได้มีการแจ้งล่วงหน้าหรือหารือกับฝ่ายกัมพูชา
เขาระบุว่า นี่คือการดำเนินการฝ่ายเดียวของไทย และเป็นสิ่งที่ "ประเทศไทยต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่" ต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม เพราะการค้าชายแดนที่ปิดกั้นนั้น ส่งผลให้สินค้าทั้งเข้าและออกหยุดชะงักทันที
“หากสินค้านำเข้าไม่สามารถเข้าสู่กัมพูชาได้ คนไทยเองนั่นแหละที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด” — ฮุน เซน กล่าว
ใครเดือดร้อนที่สุด? ประชาชนสองประเทศ
คำพูดของฮุน เซนชี้ชัดว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ไม่ใช่นักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐ หากแต่เป็นประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าชายแดน และผู้บริโภคทั้งในไทยและกัมพูชา ที่ต้องพึ่งพาสินค้าและบริการจากกันและกัน
ตามสถิติการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาในปี 2024 ที่ผ่านมา กัมพูชาส่งออกสินค้ามาไทยมูลค่ากว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ไทยส่งออกสินค้ามายังกัมพูชาสูงถึง 5.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ามากกว่าถึง 4.1 พันล้านดอลลาร์
เพียงแค่ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2025 กัมพูชาส่งออกไปไทยกว่า 200 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยส่งออกมายังกัมพูชาถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ การหยุดชะงักของการค้าจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก และอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ หากปล่อยให้ปัญหานี้ยืดเยื้อ
รัฐบาลไทยควรตอบสนองอย่างไร?
ในขณะที่ฝั่งกัมพูชามีการแสดงออกอย่างชัดเจนจากผู้นำระดับสูงอย่างฮุน เซน ฝ่ายไทยยังไม่มีคำแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากกระทรวงการต่างประเทศ หรือรัฐบาลไทยต่อประเด็นการปิดด่านที่เกิดขึ้น ว่ามีเหตุผลเบื้องหลังอย่างไร หรือมีแนวทางในการคลี่คลายสถานการณ์เช่นไร
หากไม่มีการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาและโปร่งใส อาจยิ่งสร้างความเข้าใจผิด และเปิดโอกาสให้ฝ่ายต่างๆ ใช้สถานการณ์นี้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
เสียงสะท้อนจากประชาชน: “อย่าให้การเมืองทำลายมิตรภาพคนชายแดน”
แม้ในระดับการเมืองอาจมีความขัดแย้งหรือข้อพิพาท แต่ในระดับประชาชน โดยเฉพาะคนชายแดนทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา ยังคงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และความสัมพันธ์ส่วนบุคคล การปิดด่านย่อมสร้างความลำบากไม่เฉพาะด้านการเงิน แต่รวมถึงด้านจิตใจและวิถีชีวิตประจำวันด้วย
“เราขายของอยู่ชายแดนมา 20 ปี คนกัมพูชากับคนไทยเหมือนพี่น้องกัน ถ้าใครไปยุให้เกลียดกันเพราะการเมือง นั่นแหละถึงจะเสียหายที่สุด” — พ่อค้ารายหนึ่งในอรัญประเทศให้สัมภาษณ์
บทสรุป: อย่าปล่อยให้ข้อพิพาทลุกลามเป็นความเกลียดชัง
กรณีไทย-กัมพูชาครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ความขัดแย้งทางการเมืองหรือการบริหารพรมแดน หากไม่ถูกจัดการอย่างมีสติ อาจลุกลามกลายเป็นปัญหาที่รุนแรงและส่งผลกระทบในวงกว้างมากกว่าที่หลายคนคาดคิด
คำเตือนของฮุน เซนจึงไม่ใช่เพียงคำกล่าวทางการเมือง แต่เป็นเสียงสะท้อนที่ควรได้รับการใส่ใจอย่างยิ่งทั้งจากฝ่ายไทยและกัมพูชา เพราะในท้ายที่สุด ไม่ว่าข้อพิพาทจะจบอย่างไร “ประชาชนคือผู้ที่แบกรับผลกระทบ”
















