ปิดดีลลับ! กัมพูชายอมถอยทัพ หลังไทยเจรจาเข้มกลางดึก
คลี่คลายด้วยดี! กัมพูชาถอยกำลังจากแผ่นดินไทย – จับตาศึกศาลโลก ‘3 ปราสาท’ ยังไม่จบ?
วันที่ 8 มิถุนายน 2568 วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร ได้รายงานผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Wassana Nanuam” ว่า สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมาได้คลี่คลายลงอย่างสงบ โดยระบุว่า ทหารกัมพูชาถอยกำลังออกจากพื้นที่ที่อยู่ในเขตดินแดนไทย หลังจากการเจรจาอย่างเงียบ ๆ ระหว่างกองทัพภาคที่ 2 (ทัพภาค 2) ของไทย และฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นความพยายามภายใต้แนวทางการเจรจาแบบไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ
แม้ว่าการถอนกำลังดังกล่าวจะเป็นสัญญาณที่ดีต่อสันติภาพในภูมิภาค แต่ประเด็นที่ยังคงเป็นที่จับตามองคือ การดำเนินการของรัฐบาลกัมพูชาในเวทีโลก โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวที่จะ “ยื่นฟ้อง” หรือรื้อฟื้นคดี “3 ปราสาท” กับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก (ICJ) ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะเป็นอีกหนึ่งบททดสอบของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันยาวหลายร้อยกิโลเมตร
ชายแดนตึงเครียดเบื้องหลังข่าวเงียบ – ใครรู้ ใครไม่รู้ แต่กองทัพเฝ้าระวังตลอดเวลา
ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศว่า “จบลงด้วยดี” วาสนาได้เขียนโพสต์ยาวเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ แม้จะไม่ได้เป็นข่าวใหญ่โตในสื่อกระแสหลัก แต่หน่วยงานด้านความมั่นคงได้ติดตามอย่างใกล้ชิด
ตามข้อมูลจากโพสต์ระบุว่า “ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและการกระทำผิดเกี่ยวกับการพนัน (ศอ.ปซด.)” ได้ร่วมกับกองทัพบกและกองทัพเรือ ในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน
หนึ่งในมาตรการที่น่าสนใจคือ การตัดกระแสไฟฟ้า และการระงับสัญญาณอินเตอร์เน็ต ที่ถูกส่งเข้าไปยังฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นบ่อนการพนันผิดกฎหมาย และเครือข่ายกลุ่มสแกมเมอร์ หรือกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ ที่ใช้พื้นที่ตามแนวชายแดนเป็นฐานปฏิบัติการในการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อไทย “ชัตดาวน์” การเชื่อมโยงพลังงาน – กัมพูชาเริ่มร้อนใจ?
มาตรการ “ตัดกระแสไฟฟ้า-อินเตอร์เน็ต” นั้นไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของการแสดงอธิปไตยของไทยเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคธุรกิจมืดที่แฝงอยู่ในเขตแดนฝั่งกัมพูชา เพราะหลายแห่งในจังหวัดชายแดนกัมพูชานั้นมีระบบไฟฟ้าและอินเตอร์เน็ตที่พึ่งพาการส่งจากฝั่งไทย
การปิดกั้นเหล่านี้ทำให้กิจกรรมผิดกฎหมายจำนวนมาก “เป็นอัมพาต” ทันที ไม่ว่าจะเป็นบ่อนการพนันออนไลน์ โรงงานผลิตโทรศัพท์สแกม หรือแม้แต่ศูนย์ควบคุมการหลอกลวงเหยื่อแบบคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งพบว่าบางแห่งมีการว่าจ้างแรงงานไทยไปทำงานแบบถูกบังคับในเครือข่ายเหล่านี้ด้วย
ปราสาท 3 แห่งที่อาจกลายเป็นชนวนซ้ำรอยประวัติศาสตร์
แม้การถอนกำลังครั้งนี้จะเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ แต่ก็มีการคาดการณ์ว่า กัมพูชาอาจจะเดินหน้าผลักดันคดีที่เกี่ยวข้องกับ “ปราสาทโบราณ” 3 แห่งที่ตั้งอยู่ตามแนวชายแดน ซึ่งแม้จะอยู่ในฝั่งประเทศไทย แต่ก็เคยเป็นประเด็นพิพาทมาก่อน ได้แก่:
1. ปราสาทพระวิหาร (ที่เคยมีคำตัดสินของศาลโลกเมื่อปี 2505)
2. ปราสาทตาควาย
3. ปราสาทตาเมือนธม
คำถามคือ: กัมพูชาจะเดินหน้าเปิดคดีใหม่กับศาลโลกเพื่อทวงสิทธิ์เหนือดินแดนใกล้เคียงกับปราสาทเหล่านี้หรือไม่?
แม้เรื่องนี้ยังไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลกัมพูชา แต่การเคลื่อนไหวของฝ่ายทหารและข่าวกรองของไทยระบุว่า มีการ “ศึกษาข้อมูลเตรียมฟ้องศาลโลก” อยู่ในระดับนโยบาย ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
แนวทางการเจรจาลับของ “ทัพภาค 2” – ตัวจริงเบื้องหลังความสงบ
การที่วาสนาใช้คำว่า “เจรจาลับ” แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการในระดับท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะบทบาทของ กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ภาคอีสานที่มีพรมแดนติดกับประเทศกัมพูชา
การเจรจาแบบไม่เป็นทางการนี้ช่วยหลีกเลี่ยงการปะทะทั้งทางทหารและทางการเมือง เป็นกลยุทธ์ที่ถือว่าได้ผล เพราะไม่เพียงแต่ช่วยลดความตึงเครียดในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามจนกลายเป็น “วิกฤตระหว่างประเทศ”
อาชญากรรมข้ามชาติ: ปัญหาที่ซ่อนอยู่หลังแนวรบ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านเผชิญกับความท้าทายของ “อาชญากรรมข้ามชาติ” มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น:
เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์
กลุ่มสแกมเมอร์ออนไลน์
บ่อนพนันข้ามแดน
การค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย
การมีพรมแดนที่เปิดกว้าง และช่องทางธรรมชาติที่ตรวจสอบยาก ทำให้พื้นที่ชายแดนกลายเป็น “พื้นที่สีเทา” ที่กลุ่มอาชญากรสามารถแฝงตัวได้ง่าย การที่ไทยเริ่มใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด เช่น ตัดไฟฟ้าและสัญญาณอินเตอร์เน็ตจึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการควบคุมสถานการณ์
บทเรียนจากอดีต: ศาลโลกและดินแดนที่ใครก็ไม่อยากเสีย
ย้อนกลับไปในปี 2505 ศาลโลกเคยตัดสินให้ “ปราสาทพระวิหาร” ตกเป็นของกัมพูชา สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับสังคมไทย แม้ตัวปราสาทจะตกเป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่โดยรอบยังคงมีข้อพิพาทกันเรื่อยมา จนถึงขั้นเกิดการสู้รบระหว่างทหารของทั้งสองฝ่ายในช่วงปี 2551-2554
หากกัมพูชาพยายามฟ้องศาลโลกอีกครั้งในปี 2568 นี้เพื่อเรียกร้องพื้นที่ใกล้กับปราสาทอื่น ๆ การทูตไทยจะต้องเตรียมรับมืออย่างรอบคอบ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของดินแดนเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรี และผลกระทบทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความสัมพันธ์ระยะยาว
สรุป: สันติภาพชายแดนเริ่มต้นจากความเงียบ แต่ต้องมีหลักประกัน
แม้สถานการณ์ล่าสุดจะดูเหมือน “สงบ” แต่ยังคงมีคำถามสำคัญว่า ความสงบนั้น “ยั่งยืน” หรือไม่?
การถอนกำลังเป็นเพียงก้าวแรก การเจรจาอย่างไม่เป็นทางการช่วยลดความตึงเครียด แต่สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำต่อไปคือ:
เสริมสร้างระบบข่าวกรองชายแดนให้เข้มแข็ง
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชายแดน เพื่อไม่ให้ประชาชนถูกแทรกแซงจากผลประโยชน์ของกลุ่มผิดกฎหมาย
เร่งพัฒนาความร่วมมือระดับทวิภาคี กับกัมพูชาให้มั่นคงในระยะยาว
การรักษาอธิปไตย ไม่ใช่แค่เรื่องการใช้กำลัง แต่คือการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ซึ่งไทยได้เริ่มต้นแล้ว และควรเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ประมาท
















