ฮุน มาเนต เปิดเกม! เสนอ 3 แผนเด็ด แก้ปมพิพาทไทย-กัมพูชา จับตาไทยจะตอบรับไหม?
“ฮุน มาเนต” นายกฯ กัมพูชา เสนอ 3 แนวทางสันติ แก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมเตือนหากถูกรุกล้ำอธิปไตย จะตอบโต้ทันที
เมื่อไม่นานมานี้ สถานการณ์ทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มได้รับความสนใจอีกครั้ง เมื่อ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางพรมแดนกับประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยเน้นแนวทางสันติภาพ ความร่วมมือ และการดำเนินการตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
♦️ที่มาของข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร เป็นเรื่องที่ฝังรากลึกมาตั้งแต่อดีต มีความเกี่ยวข้องทั้งด้านประวัติศาสตร์ กฎหมายระหว่างประเทศ และความรู้สึกของประชาชนทั้งสองประเทศ ปราสาทพระวิหารซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สูงติดพรมแดนไทย-กัมพูชา ถูกระบุให้เป็นมรดกโลกในปี 2008 โดยยูเนสโก ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความตึงเครียดทางการทูตระหว่างสองประเทศ
♦️ฮุน มาเนต กับท่าทีที่ชัดเจนและแน่วแน่
โพสต์จาก ฮุน มาเนต ถือเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการบริหารนโยบายต่างประเทศของกัมพูชา ภายหลังการสืบทอดตำแหน่งจาก ฮุน เซน อดีตผู้นำที่ครองอำนาจมานาน โดยเขาได้ระบุว่า กัมพูชายึดมั่นในหลัก “สันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือ” เป็นหลักในการแก้ไขปัญหา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะลดความตึงเครียดในระดับภูมิภาค และเน้นการใช้กลไกสากลในการคลี่คลายสถานการณ์
นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต เสนอ 3 แนวทางสำคัญ เพื่อจัดการกับปัญหาชายแดนที่อ่อนไหวนี้ ได้แก่:
✅ แนวทางที่ 1: พึ่งพากระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
กัมพูชาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า หากมีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการเจรจาโดยตรง จะใช้วิธีการนำคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice – ICJ) ซึ่งถือเป็นแนวทางที่สันติและถาวร มากกว่าการปล่อยให้ข้อพิพาทค้างคา อันอาจนำไปสู่ความขัดแย้งหรือการเผชิญหน้าทางทหารในอนาคต
โดยในอดีต กัมพูชาเคยยื่นเรื่องให้ ICJ ตีความคดีเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเมื่อปี 1962 และอีกครั้งในปี 2011 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางของกัมพูชาในการใช้กฎหมายระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือหลัก
✅ แนวทางที่ 2: ส่งเสริมความร่วมมือผ่าน JBC (Joint Boundary Commission)
ฮุน มาเนต ย้ำชัดเจนว่า กัมพูชาจะทำงานอย่างต่อเนื่องกับรัฐบาลไทย โดยใช้กลไกของ “คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา” หรือ JBC ซึ่งเป็นช่องทางทางการทูตและเทคนิคที่มีอยู่ เพื่อกำหนดแนวเขตแดนให้ชัดเจน โดยเฉพาะในพื้นที่อีกสองแห่งที่ยังมีข้อพิพาท
แม้กลไก JBC จะเคยเผชิญกับความล่าช้าเนื่องจากปัญหาทางการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ แต่การรื้อฟื้นการทำงานและเจรจาร่วมกันถือเป็นแนวทางสำคัญที่จะลดโอกาสเกิดเหตุการณ์รุนแรงในอนาคต
✅ แนวทางที่ 3: รักษาความสัมพันธ์ในระดับประชาชนและรัฐบาล
ฮุน มาเนต กล่าวอย่างชัดเจนว่า กัมพูชาจะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับไทยผ่านกลไกและความร่วมมือที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว หรือการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
โดยเฉพาะในบริเวณชายแดนซึ่งประชาชนมักมีการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง การรักษาความสงบและเสถียรภาพในพื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่ง
❗ คำเตือนสำคัญจากผู้นำกัมพูชา
แม้กัมพูชาจะเน้นแนวทางสันติภาพเป็นหลัก แต่ฮุน มาเนต ก็กล่าวอย่างเด็ดขาดว่า “หากกองทัพไทยใช้กำลังทางทหารรุกล้ำอธิปไตยของกัมพูชา กัมพูชาจะตอบโต้โดยเด็ดขาด” พร้อมทั้งเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาไม่ปลุกปั่นหรือเผยแพร่แนวคิดชาตินิยมสุดโต่ง ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
คำเตือนนี้แสดงถึงความตั้งใจของรัฐบาลกัมพูชาในการปกป้องอธิปไตยของตนเอง ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณถึงประชาชนทั้งในและนอกประเทศว่า ไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของความเกลียดชังหรือการบิดเบือนข้อมูลที่อาจกระตุ้นความขัดแย้ง
🌏 ผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์และความมั่นคงของภูมิภาค
ข้อพิพาทชายแดนไม่ใช่แค่เรื่องของสองประเทศเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับเสถียรภาพในภูมิภาคอาเซียนโดยรวม หากเกิดความรุนแรงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการค้า การลงทุน และความร่วมมือด้านความมั่นคงของภูมิภาค
การใช้ ICJ และ JBC ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่อาเซียนและประชาคมโลกสามารถสนับสนุน เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ชาติอื่นๆ ที่มีข้อพิพาทด้านดินแดน เช่น เวียดนาม-จีน หรือฟิลิปปินส์-จีนในทะเลจีนใต้
🇹🇭 ไทยควรตอบรับอย่างไร?
รัฐบาลไทยในปัจจุบันยังไม่ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการต่อข้อเสนอของฮุน มาเนต แต่ในบริบทของการทูตที่มุ่งสันติภาพ ควรมีการดำเนินการอย่างระมัดระวัง ยึดหลักการเจรจา และการให้ความเคารพในเวทีระหว่างประเทศ
ในขณะเดียวกัน สื่อมวลชนและสังคมไทยควรมีบทบาทในการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบด้าน ไม่กระพือข่าวหรือความคิดเห็นที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือยั่วยุ โดยเฉพาะในพื้นที่โซเชียลมีเดียที่มักกลายเป็นสนามของ “สงครามข้อมูลข่าวสาร”
🔚 สรุป: เส้นทางแห่งสันติภาพ อยู่ที่การเคารพซึ่งกันและกัน
ท่าทีของฮุน มาเนต ถือเป็นการส่งสัญญาณถึงยุทธศาสตร์ใหม่ของกัมพูชา ที่แม้จะเข้มแข็งในการปกป้องอธิปไตย แต่ก็ให้ความสำคัญกับการเจรจาและกลไกทางกฎหมายระหว่างประเทศ แนวทางดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นผลดีต่อไทย-กัมพูชา แต่ยังอาจช่วยยกระดับมาตรฐานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนโดยรวม
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ประชาชนทั้งสองประเทศต้องการไม่ใช่ชัยชนะทางอาณาเขต แต่คือสันติภาพ ความมั่นคง และการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพซึ่งกันและกัน













