เเสงยานุภาพของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง กองทัพเรือไทย
จากกรณีความไม่สงบบริเวณปัญหาพื้นที่พิพาทชายแดนไทยกัมพูชา บริเวณช่องบกจังหวัดอุบลราชธานี ที่ได้มีเหตุการณ์ปะทะความรุนแรงยิงปืนใส่กันเป็นเหตุให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย
จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ได้มีการนัดผู้ป่วยเจรจาแต่การเจรจาเหล่านั้นไม่เป็นผลจึงเป็นเหตุให้เพิ่มความตึงเครียดบริเวณชายแดน
จนอาจนำไปสู่การเกิดสงครามได้เลยทีเดียว จากกรณีนี้เองเจ้าของกระทู้จะพาไปส่องผมกำลังของกองทัพเรือที่มีความพร้อมสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยของประเทศไทย
หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง มีหน้าที่รักษาอธิปไตยทางอากาศและท้องทะเล ซึ่งมีผู้คุมกำลังดังกล่าวคือ
พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (ผบ.สอ.รฝ.) คุมกำลังพลรบ 42,000 นาย ซึ่งกำลังเหล่านี้ได้มีการฝึกวิธีรบและยุทธวิธีในการปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยอยู่ตลอด
ซึ่งหน่วยดังกล่าวนี้มีอาวุธประกอบไปด้วย
1. ปืนใหญ่กลางกระสุนวิธีราบ ขนาด 130 มิลลิเมตร ปืนใหญ่รักษาฝั่งกระสุนวิถีโค้ง ขนาด 155 มิลลิเมตร
2. ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด 37 และ 40 มิลลิเมตร อาวุธยิงจรวดนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ IGLA -S จำนวน 2 ระบบ แบบประทับบ่า และติดตั้งกับตัวรถแท่นคู่ มีระยะการยิง 1,800 เมตร ตรวจจับเป้าหมาย ด้วยการรับรังสีอินฟราเรดที่แพร่ออกมาจากแหล่งความร้อนของตัวอากาศยาน อาวุธจะทำการล็อคเป้า ตัวจรวดจะติดตามพุ่งเข้าทำลายเป้าหมายอย่างแม่นยำ
เท่านั้นยังไม่พอยังมีอาวุธใหม่เข้ามาประจำการ นั่นก็คือ อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศอัตตาจร FK-3 ระยะปานกลางแบบเคลื่อนที่ มีระยะการยิงแม่นยำไกล 5 - 100 กิโลเมตร ซึ่งมีประจำการในหน่วย 3 คัน และมี 4 ท่อยิงรวม 12 ท่อยิง สามารถยิงขีปนาวุธต่อเนื่องพร้อมกันได้ 12 นัด
และนี่คือ เเสงยานุภาพของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง กองทัพเรือไทย





















