ไม่ถอย! กลาโหมกัมพูชาปัดคำขอไทย ยันตรึงกำลังต่อที่ช่องบก
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาร้อนระอุ! กัมพูชาตรึงกำลังกว่า 12,000 นาย พร้อมอาวุธหนักเต็มพื้นที่ – ยันไม่ถอนกำลังจาก “มอมเตย” แม้ไทยร้องขอ
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเริ่มส่งสัญญาณความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุปะทะคารมระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ณ บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งส่งผลให้ฝ่ายกัมพูชามีทหารเสียชีวิต และนำไปสู่การตรึงกำลังทหารกัมพูชาเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญ ล่าสุดมีรายงานว่า กัมพูชาได้นำกำลังทหารเข้ามาประจำการในพื้นที่ชายแดนช่องบก และบริเวณเนินยุทธศาสตร์ต่างๆ รวมทั้งสิ้นประมาณ 12,000 นาย พร้อมอาวุธหนักหลากหลายชนิด
ทหารกัมพูชาเสริมกำลังเต็มพิกัด อาวุธหนักเพียบ
ข้อมูลจากหน่วยความมั่นคงฝั่งไทยเปิดเผยเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ว่า หลังเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้น กัมพูชาได้มีการเสริมกำลังทหารเข้ามาในพื้นที่ชายแดนต่อเนื่อง โดยในตอนแรกมีทหารอยู่ราว 10,000 นาย ก่อนจะเสริมอีกกว่า 3,000 นายภายหลังเหตุการณ์ปะทะบริเวณช่องบก ทำให้ยอดรวมทหารกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 12,000 นาย กระจายกำลังในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น เนิน 745, เนิน 641 และบริเวณมอมเตย (ศาลาตรีมุข)
นอกจากจำนวนทหารที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ยังพบว่าฝ่ายกัมพูชานำอาวุธหนักมาติดตั้งในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยอาวุธที่ถูกนำมาติดตั้งนั้นมีทั้งเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง RM-70 ขนาด 122 มม., ปืนใหญ่ SH-1A ขนาด 155 มม., ปืนใหญ่ 130 มม. M-64, ปืนใหญ่อัตตาจร 155 มม. จากจีน, จรวด BM-21 จากอดีตสหภาพโซเวียต, ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ZU-23, จรวด QW-3, ปืนไร้แรงสะท้อน 82 มม., ปืน ค.60, ปืนกลหนัก 12.7 มม., รวมถึงรถถัง T-55 และรถเรดาร์อุตุนิยมวิทยา 702D เป็นต้น
การเสริมกำลังด้วยอาวุธหนักในลักษณะนี้ ทำให้ฝ่ายไทยต้องเพิ่มระดับการเฝ้าระวังชายแดนอย่างเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากการแสดงออกในลักษณะเชิงรุกของฝ่ายกัมพูชา สร้างความกังวลถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปะทะซ้ำอีกครั้ง
การหารือระดับรัฐมนตรี: ไทย-กัมพูชา พยายามหาทางลดความตึงเครียด
ท่ามกลางบรรยากาศที่คุกรุ่น รัฐบาลไทยโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินหน้าเปิดการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา โดยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้หารือร่วมกับ พล.อ.เตีย เซียฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา ซึ่งการพูดคุยครั้งนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการลดความตึงเครียดที่ชายแดน และรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้านทั้งสองฝ่าย
กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ผ่านทางเพจอย่างเป็นทางการเมื่อเวลา 14.20 น. ของวันที่ 6 มิถุนายน โดยระบุว่า การเจรจาระหว่างสองประเทศดำเนินไปอย่างราบรื่น และได้ข้อสรุปร่วมกันในประเด็นการส่งเสริมการสื่อสารที่ดี ลดการเผชิญหน้าด้วยกำลัง และเน้นการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีผ่านกลไกการเจรจา
กัมพูชายืนยันไม่ถอนกำลังจาก “มอมเตย” – ย้ำเป็นพื้นที่ในเขตอธิปไตย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กลายเป็นจุดติดขัดในกระบวนการเจรจาคือคำร้องของฝ่ายไทย ที่ขอให้กัมพูชาถอนทหารออกจากบริเวณ “มอมเตย” ซึ่งเคยเกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมกัมพูชาออกแถลงการณ์ปฏิเสธคำร้องขอดังกล่าวอย่างชัดเจน โดยให้เหตุผลว่า จุดดังกล่าวอยู่ภายใต้เขตอธิปไตยของประเทศกัมพูชา และเป็นที่ตั้งถาวรของทหารกัมพูชามาโดยตลอด จึงไม่สามารถถอนกำลังออกได้ตามคำขอของฝ่ายไทย
นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชายังย้ำว่า ความไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับแผนที่และมาตราส่วนที่ใช้ในการกำหนดพรมแดน เป็นอุปสรรคสำคัญในการหาจุดกึ่งกลางร่วมกัน เพื่อให้เกิดเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืน
กัมพูชาเตรียมยื่นข้อพิพาท 4 จุดต่อศาลโลก (ICJ)
ในแถลงการณ์เดียวกัน กระทรวงกลาโหมกัมพูชาเปิดเผยว่า ได้มีการตัดสินใจเตรียมดำเนินการยื่นข้อพิพาทชายแดนใน 4 จุด ได้แก่ มอมเตย, ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโตช และปราสาทตาควาย ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อให้เป็นองค์กรกลางในการพิจารณาเขตแดนที่ถูกต้องและเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายกัมพูชาย้ำว่า ตนมีความมุ่งมั่นต่อแนวทางสันติภาพ เสถียรภาพ และประโยชน์ของประชาชนไทย-กัมพูชา มากกว่าการเผชิญหน้าด้วยกำลังทหาร พร้อมระบุว่าการพึ่งพากลไกระหว่างประเทศจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้
ฝ่ายไทยตอบรับแนวทางสันติ แต่ยังคงติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
ในเบื้องต้น ฝ่ายไทยได้แสดงท่าทีเคารพต่อสิทธิของกัมพูชาในการยื่นข้อพิพาทต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และยินดีที่จะร่วมมือในเวทีการเจรจาในกลไกต่างๆ ทั้ง GBC (General Border Committee), JBC (Joint Boundary Commission) และ RBC (Regional Border Committee) เพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาชายแดนอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนอย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมมาตรการรับมือทุกกรณีที่อาจเกิดขึ้น ทั้งในแง่ความมั่นคงและผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่
สรุป: สถานการณ์ชายแดนที่ต้องจับตา
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในขณะนี้ยังอยู่ในภาวะตึงเครียด แม้จะมีความพยายามเจรจาในระดับสูงระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ แต่ยังไม่มีข้อยุติในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับพื้นที่พิพาทอย่างมอมเตย และจุดอื่น ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การยื่นเรื่องต่อ ICJ ในอนาคต การเฝ้าระวัง การเจรจาอย่างสร้างสรรค์ และการใช้กลไกสากล คือสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต้องยึดถือ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่ความเสียหายทั้งต่อความมั่นคงและประชาชนของทั้งสองชาติ



















