เปิดแผนขุมกำลังเขมร! 12,000 นายตรึงแนวชายแดน ขนอาวุธครบมือ ปักหลักเผชิญหน้าทัพไทย
จับตาสถานการณ์ชายแดนตึงเครียด! กัมพูชาตรึงทหารเกือบ 12,000 นาย อาวุธหนักเพียบ หันปากกระบอกปืนจ่อไทย
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ บริเวณช่องบก จ.สุรินทร์ กำลังตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง หลังมีรายงานข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 เปิดเผยถึงการเคลื่อนไหวของกองทัพกัมพูชา ที่ได้เพิ่มกำลังทหารและยุทโธปกรณ์หนักเข้ามาประจำการใกล้แนวชายแดนกับไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณเนินยุทธศาสตร์สำคัญ อาทิ เนิน 745 เนิน 641 และพื้นที่บริเวณมอม เบย์ (หรือที่เรียกกันว่า “ศาลาตรีมุข”) ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ในเขตชายแดนด้าน จ.สุรินทร์ ของไทย
⚠️ ต้นเหตุความตึงเครียด: จากกิจกรรมเล็กๆ สู่การเคลื่อนกำลังเต็มรูปแบบ
สถานการณ์เริ่มบานปลายจากกรณี “แม่บ้านทหารกัมพูชา” ที่มีการจัดกิจกรรมในพื้นที่ของปราสาทตาเมือนธม ซึ่งตั้งอยู่ในเขต อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ แม้บริเวณดังกล่าวจะอยู่ในพื้นที่พิพาทที่มีความอ่อนไหวสูง และยังไม่มีการแบ่งเขตแดนอย่างชัดเจน แต่การจัดกิจกรรมของพลเรือนฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าว กลับกลายเป็นชนวนจุดชนวนให้เกิดความไม่พอใจจากฝ่ายไทย จนนำไปสู่การปะทะทางวาจาระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายในพื้นที่
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว กัมพูชาได้ดำเนินการเสริมกำลังทหารเข้าสู่พื้นที่บริเวณชายแดนในทันที โดยจากเดิมที่มีทหารประจำการประมาณ 10,000 นาย ได้เพิ่มกำลังพลเข้าไปอีกกว่า 3,000 นาย ทำให้มีกำลังทหารรวมในพื้นที่ช่องบกกว่า 12,000 นาย และที่น่ากังวลคือ ไม่ใช่เพียงจำนวนกำลังคนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการนำอาวุธหนักจำนวนมากเข้ามาประจำการอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
🔥 อาวุธหนักกัมพูชาพร้อมรบ หันปลายกระบอกปืนจ่อไทย
จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบว่ากองทัพกัมพูชาได้นำอาวุธยุทโธปกรณ์หลากหลายประเภทเข้ามาติดตั้งในแนวชายแดน ทั้งรถยิงจรวด, ปืนใหญ่, รถถัง, ระบบเรดาร์ และอาวุธต่อสู้อากาศยาน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการปะทะ หากสถานการณ์เลวร้ายลง รายละเอียดอาวุธบางส่วนที่ตรวจพบ มีดังนี้:
- จรวดหลายลำกล้อง RM-70 ขนาด 122 มม.: เป็นจรวดแบบเคลื่อนที่เร็ว ยิงได้คราวละหลายลูกพร้อมกัน สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง
- ปืนใหญ่ SH-1A ขนาด 155 มม.: ระบบปืนใหญ่ขนาดหนัก จากจีน มีพิสัยยิงไกลและแม่นยำ
- รถเรดาร์อุตุนิยมวิทยา 702D: ใช้สำหรับตรวจจับสภาพอากาศ แต่สามารถปรับใช้ในภารกิจทหารเพื่อตรวจจับการเคลื่อนที่ของข้าศึก
- รถถัง T-55: แม้จะเป็นรุ่นเก่า แต่ยังคงประสิทธิภาพในการรบระยะประชิด
- ปืนใหญ่ M-64 ขนาด 130 มม. และ BM-21 จากโซเวียต: ปืนใหญ่ระยะกลางถึงไกล ยิงด้วยความแม่นยำ
- ZU-23 ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานขนาด 23 มม.: สำหรับต่อต้านเฮลิคอปเตอร์หรืออากาศยานต่ำ
- จรวด QW-3 ต่อต้านอากาศยานแบบพกพา: คล้ายกับ Stinger ของสหรัฐฯ
- ปืนไร้แรงสะท้อน 82 มม. และ ปืน ค.60: สำหรับโจมตีแนวกำบังของศัตรู
- เครื่องยิงลูกระเบิดกึ่งอัตโนมัติ LG-4 จากจีน: สำหรับการต่อสู้ในพื้นที่แคบ เช่น ป่าเขา หรือหมู่บ้านชายแดน
📌 วิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: ทำไมกัมพูชาต้องเคลื่อนไหวเชิงรุก?
การเคลื่อนไหวของกองทัพกัมพูชาในครั้งนี้ อาจตีความได้หลายทาง โดยเฉพาะในเชิงยุทธศาสตร์และการเมืองภายในประเทศ โดยประเด็นที่ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงให้ความเห็น ได้แก่:
1. การสร้างแรงกดดันทางการทูต
การเคลื่อนไหวของทหารและอาวุธหนักใกล้แนวชายแดนอาจเป็นการส่งสัญญาณให้ฝ่ายไทยตระหนักถึงอำนาจของกัมพูชาในพื้นที่พิพาท และอาจต้องการผลักดันให้เกิดการเจรจาในระดับทวิภาคีอย่างเร่งด่วน
2. สร้างภาพภายในประเทศ
รัฐบาลกัมพูชาซึ่งกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจ อาจใช้วิธีสร้างสถานการณ์ชายแดนให้ประชาชนหันเหความสนใจจากปัญหาภายในประเทศ
3. การเตรียมพร้อมเผชิญเหตุรุนแรง
แม้จะยังไม่มีท่าทีจากฝ่ายไทยว่าจะใช้กำลังตอบโต้ แต่การเตรียมกำลังพร้อมรบของกัมพูชาแสดงให้เห็นว่า พวกเขาพร้อมจะปะทะหากถูกยั่วยุหรือถูกมองว่ารุกล้ำสิทธิเขตแดนตน
🕊️ ไทยตอบสนองอย่างไร?
ในขณะที่กัมพูชาเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้น ฝ่ายความมั่นคงไทยได้ออกมาเปิดเผยว่าขณะนี้ยังคงเน้นการใช้ช่องทางการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่เป็นหลัก เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม โดยทหารไทยยังคงตรึงกำลังอยู่ในแนวชายแดน พร้อมทั้งเตรียมกำลังเสริมในพื้นที่ จ.สุรินทร์, ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
ฝ่ายความมั่นคงยังคงประสานงานใกล้ชิดกับฝ่ายกัมพูชา และมีการตั้งคณะกรรมการชายแดนระดับท้องถิ่น (Border Committee) เพื่อพูดคุยและลดความตึงเครียด แม้ในระดับรัฐบาลยังไม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ
🔍 สถานการณ์ที่ต้องจับตา
จะมีการถอนกำลังทหารหรือไม่
หากไม่มีความชัดเจนในเรื่องของการเจรจา สถานการณ์อาจยืดเยื้อ และเสี่ยงต่อความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง
บทบาทของอาเซียนและประชาคมโลก
ในกรณีที่สถานการณ์ลุกลาม อาเซียนอาจถูกกดดันให้เข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยเพื่อรักษาเสถียรภาพของภูมิภาค
ประชาชนในพื้นที่ชายแดน
ความกังวลและความไม่แน่นอนของประชาชนใน อ.พนมดงรัก และพื้นที่ใกล้เคียง เริ่มเพิ่มขึ้น มีรายงานว่าหลายครอบครัวเริ่มเตรียมความพร้อมอพยพหากมีเหตุรุนแรง
📣 สรุป
การเคลื่อนกำลังทหารของกัมพูชากว่า 12,000 นาย พร้อมอาวุธหนักหลากหลายชนิด เข้าตรึงแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ถือเป็นพัฒนาการที่น่ากังวลและต้องจับตาอย่างใกล้ชิด แม้จะยังไม่มีการปะทะรุนแรงเกิดขึ้น แต่ความเสี่ยงของความเข้าใจผิดหรือเหตุการณ์ที่บานปลายมีอยู่ทุกเมื่อ หน่วยงานไทยจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงสุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในพื้นที่ที่เปราะบางทางการเมืองและอธิปไตย
ความสงบในพื้นที่ชายแดน ไม่ได้เกิดจากการใช้กำลัง หากแต่ต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างกันอย่างแท้จริง.

















