เจ็บแต่จริง! อาจารย์จุฬาฯ วิเคราะห์ไทยแพ้ทางกัมพูชา เกมการทูต-หมากบนกระดาน
"อย่าเล่นกับไฟชาตินิยม! รศ.ดร.พวงทอง เตือนรัฐบาลไทยจำบทเรียน 'พระวิหาร' ให้ดี ยก 'ฮุนเซน' เก๋าเกมการทูต ไทยเสี่ยงพ่ายทั้งเวทีโลกและประชาคมอาเซียน"
ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ประเด็นข้อพิพาทเรื่องเขตแดนซึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นแผลเป็นที่ไม่เคยสมานได้จริงกำลังกลับมาเป็นวาระแห่งชาติอีกครั้ง ซึ่งได้จุดประกายให้ รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชื่อดังจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอย่างเข้มข้น พร้อมทั้งให้คำเตือนอย่างตรงไปตรงมาถึงรัฐบาลไทย โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงว่า “อย่าเล่นกับไฟชาตินิยม” เพราะบทเรียนจากกรณีปราสาทพระวิหารในอดีตนั้นยังหลอกหลอนอยู่ และอาจกลับมาทำร้ายประเทศไทยซ้ำอีกหากยังเดินเกมผิดพลาด
ฮุนเซน: ผู้นำทหารที่กลายเป็นจอมขุนศึกแห่งการทูต
แม้สมเด็จฮุนเซน ผู้นำสูงสุดของกัมพูชา จะมีภูมิหลังจากสายทหารและไม่ได้จบการศึกษาระดับสูงเหมือนผู้นำประเทศอื่น ๆ แต่ทักษะด้านการทูตและการเมืองระหว่างประเทศของเขานั้น รศ.ดร.พวงทองชี้ว่าควรได้รับการยอมรับในระดับสากล ความสามารถในการอ่านเกมระหว่างประเทศ ทำให้เขากลายเป็นนักการเมืองที่ “เดินเกมเก๋า” กว่าหลายคนที่เรียนจบปริญญาเอกมาเสียอีก
การที่ฮุนเซนประกาศจะนำข้อพิพาทชายแดนขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) แม้จะรู้ดีว่าโอกาสสำเร็จนั้นยากเย็น เพราะไทยได้ถอนตัวจากอำนาจศาลโลกภาคบังคับไปตั้งแต่ปี 2555 แต่กลับเป็นการ “ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว” อย่างที่ รศ.ดร.พวงทองวิเคราะห์ไว้ได้อย่างเฉียบคม
นกตัวแรก คือ การเรียกคะแนนนิยมในประเทศ สร้างภาพว่าผู้นำกัมพูชาไม่ยอมอ่อนข้อให้ชาติที่ใหญ่กว่า
นกตัวที่สอง คือ การสร้างภาพลักษณ์ว่า กัมพูชาเป็นประเทศที่เคารพกติกาสากล ยึดมั่นในสินติวิธี ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็น “ฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ” ไปโดยปริยาย
บทเรียนจาก “ปราสาทพระวิหาร”: ไทยพลาดเพราะชาตินิยมบังตา
ย้อนกลับไปในช่วงปี 2551-2554 ประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารกลายเป็นเรื่องใหญ่ของการเมืองไทย ซึ่งในขณะนั้น รัฐบาลไทยซึ่งนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มการเมืองภายนอก ได้ปลุกกระแสชาตินิยมอย่างรุนแรงเพื่อโจมตีรัฐบาลพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไทยปฏิเสธทุกข้อเสนอของฮุนเซนที่ต้องการให้อาเซียนเข้ามาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย ต่อมาฮุนเซนจึงยื่นเรื่องต่อ UNSC ซึ่งก็ได้รับการตอบรับ และนำไปสู่คำวินิจฉัยของศาลโลกในที่สุด ผลคือไทยต้องถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่โดยรอบปราสาททั้งภูเขาไทยแพ้ทั้งในเชิงการทูตและในภาพลักษณ์ระดับโลก
รศ.ดร.พวงทองย้ำชัดว่า “สำหรับคนที่โตไม่ทันกรณีนี้ ต้องเข้าใจว่าครั้งนั้นไทยกลายเป็น ‘เด็กเกเร’ ในสายตานานาชาติ”
รัฐบาลเพื่อไทย: เชื่องช้า-สับสน-ไม่ชัดเจน
เมื่อกลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลเพื่อไทยชุดนี้ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่แสดงท่าทีชัดเจนและเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า รศ.ดร.พวงทองถึงกับกล่าวตรง ๆ ว่า “ทำงานเหมือนคนเมายาในหลายเรื่อง” โดยเฉพาะในเรื่องการทูตและความมั่นคง
แม้ว่าการประกาศใช้เวทีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) จะถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่การล่าช้าและไม่แสดงภาวะผู้นำชัดเจน ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าไทยอาจพลาดอีกครั้งในเวทีนานาชาติ
เธอเสนอว่า หากไทยไม่ต้องการใช้กลไกศาลโลกอีก ก็ต้องเน้นการเจรจาผ่าน JBC ให้ชัดเจนและจริงจัง ไม่ใช่แค่ประกาศแล้วเงียบหาย การประสานงานและการวางยุทธศาสตร์ต้องรอบคอบ ไม่เช่นนั้น ไทยจะเสียเปรียบกัมพูชาในทุกด้านอีกครั้ง
กัมพูชา: เข้มแข็งขึ้นทั้งด้านทูตและทหาร
รศ.ดร.พวงทองยังได้เตือนอย่างชัดเจนว่า อย่าคิดว่าไทยสามารถใช้กำลังทหาร “ข่ม” กัมพูชาได้อีกเหมือนในอดีต เพราะตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา กัมพูชาได้จับมือกับจีนแน่นแฟ้น ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและด้านการทหาร พวกเขาได้เพิ่มศักยภาพกองทัพ และได้รับการสนับสนุนด้านยุทโธปกรณ์จากจีนอย่างต่อเนื่อง
“นี่คือคำถามใหญ่ที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยต้องตอบให้ได้ว่า ติดตามความเปลี่ยนแปลงของกัมพูชาทันหรือไม่? เพราะหากยังเล่นกับไฟชาตินิยมแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ จะต้องจ่ายราคาแพงทั้งชีวิตผู้คน เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ประเทศ” รศ.ดร.พวงทอง กล่าว
บทสรุป: การทูตคือทางรอด ไม่ใช่การปลุกกระแสชาตินิยม
บทเรียนจากกรณีพระวิหารยังคงเป็นรอยแผลสดที่คนไทยไม่ควรลืม การเดินเกมของสมเด็จฮุนเซนในขณะนี้บ่งชี้ว่า กัมพูชายังเล่นหมากอย่างมีชั้นเชิง และพร้อมใช้เวทีระหว่างประเทศให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศตนเอง
ขณะที่ไทย หากยังยึดติดกับการแสดงความเข้มแข็งผ่านทหาร หรือปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองในประเทศ ก็มีแต่จะทำให้ประเทศเสียหายยิ่งขึ้นในเวทีโลก
ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทยต้องเลิกเล่นการเมืองแบบดิบ ๆ หันมาใช้ “สติปัญญา” มากกว่า “เสียงเชียร์” จากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะโลกวันนี้ไม่ได้วัดความถูกต้องจากความดัง แต่จาก “ความชอบธรรม” และ “ความร่วมมือ”
“อย่าให้บทเรียนจากอดีต กลายเป็นคำสาปที่เราสร้างซ้ำเอง!”
อ้างอิงจาก: ข้อมูลและภาพจาก: Facebook Puangthong Pawakapan
















