"ภูมิธรรม" เจรจา "เตีย เชยฮา" ขอถอยทหารกัมพูชา กลับจุดเดิม โอดโดนทัวร์ลงเสียศักดิ์ศรี!
"ภูมิธรรม" เปิดใจหลังถก "เตีย เซยฮา" ปมชายแดนไทย-กัมพูชา เสนอถอยร่นแนวปะทะ หวังคลี่คลายสถานการณ์ ก่อนบานปลายเป็นสงคราม
สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเดินทางไปพูดคุยของนาย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับ พล.อ.เตีย เซยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมของกัมพูชา ที่มีเป้าหมายหลักคือ การป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงระหว่างสองประเทศ
จุดเริ่มต้นของการเจรจา: หลีกเลี่ยงความสูญเสีย
นายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า การพูดคุยกับพล.อ.เตีย เซยฮา เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา เป็นการหารือแบบไม่เป็นทางการครั้งแรกในฐานะตัวแทนของรัฐบาล เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและแสดงจุดยืนของทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีข้อพิพาทกันมาอย่างยาวนาน
"เราไม่อยากเห็นสงครามเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเรากลัว แต่เพราะสิ่งที่จะตามมาคือความสูญเสีย" นายภูมิธรรมกล่าวอย่างชัดเจน พร้อมย้ำว่า "ไม่ว่าจะเป็นทหารแนวหน้าหรือประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน ต่างก็เป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง"
ข้อเสนอของฝ่ายไทย: ถอยร่นเหมือนข้อตกลงเดิมปี 2024
ในเนื้อหาการเจรจา นายภูมิธรรมได้เสนอให้ทั้งสองฝ่าย ถอยร่นออกจากจุดปะทะ ไปยังบริเวณเดิมที่เคยตกลงกันไว้เมื่อปี ค.ศ. 2024 หรือประมาณ 150-200 เมตร จากพื้นที่ปัจจุบัน ใกล้ศาลาตรีมุข ซึ่งเป็นจุดที่เคยใช้เป็นแนวกันชนชั่วคราวมาก่อน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาในกรอบของ คณะกรรมการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) อย่างมีประสิทธิภาพในวันที่ 14 มิถุนายนนี้
“เรายึดแนวทางสันติ ไม่อยากให้อะไรต้องบานปลาย เราเสนอให้ถอยกลับจุดเดิมเพื่อสร้างความไว้วางใจ หากยังตกลงกันไม่ได้ ก็ให้คณะกรรมการ JBC ลงพื้นที่เพื่อสำรวจสถานการณ์จริง” เขากล่าว
ปฏิเสธอำนาจศาลโลก ยืนยันคุยเฉพาะจุดขัดแย้ง
นอกจากนี้ นายภูมิธรรมยังยืนยันว่า ฝ่ายไทย จะไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลก (ICJ) ในการตัดสินชี้ขาดข้อพิพาทที่เกิดขึ้น เพราะประเทศไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 แล้ว การนำข้อพิพาทขึ้นสู่เวทีระหว่างประเทศจึงไม่ใช่แนวทางที่รัฐบาลไทยจะดำเนินการ
"เราจะเจรจาเฉพาะในกรอบของจุดขัดแย้งตามแนวชายแดน และจะไม่ขยายผลไปยังประเด็นอื่นๆ ที่ไม่มีความจำเป็น" เขาย้ำ
กัมพูชาตอบรับด้วยความระมัดระวัง
แม้จะไม่ได้มีการตอบรับอย่างชัดเจนจากฝ่ายกัมพูชา แต่จากคำกล่าวของนายภูมิธรรม ก็ชี้ให้เห็นว่า ข้อเสนอของไทยได้รับการพิจารณาในฐานะ "ข้อเสนอที่น่าสนใจ" และได้มีการส่งต่อไปยังระดับผู้นำของกัมพูชา ได้แก่ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี และ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อประเมินผลกระทบและตัดสินใจในระดับสูงต่อไป
ภูมิธรรมโอด “โดนทัวร์ลง” ชี้อย่ายุให้เกิดสงคราม
อย่างไรก็ตาม การเดินทางไปพบกับฝ่ายกัมพูชาและการเปิดเผยภาพถ่ายการเจรจา ได้ก่อให้เกิดกระแสโจมตีบนโลกออนไลน์อย่างรุนแรง โดยมีบางฝ่ายกล่าวหาว่าเป็นการ “ไม่มีศักดิ์ศรี” ของประเทศ บางคนถึงขั้นเรียกร้องให้มีการดำเนินคดี
นายภูมิธรรมตอบโต้ข้อวิจารณ์นี้อย่างชัดเจนว่า การแสดงความไม่พอใจผ่านโซเชียลมีเดีย อาจทำให้การทำงานเพื่อคลี่คลายปัญหาเป็นไปอย่างลำบากมากยิ่งขึ้น
"ผมไม่ได้กลัวสงคราม แต่ผมไม่อยากให้ใครยุให้เกิดขึ้น เพราะสงครามไม่เคยเป็นประโยชน์กับใครเลย ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะชนะหรือแพ้ ความสูญเสียที่ตามมาคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้"
เดินหน้าประชุม JBC – ตั้งคณะทำงานวิเคราะห์สถานการณ์
นายภูมิธรรมยืนยันว่า การประชุมคณะกรรมการ JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ยังคงมีตามกำหนดเดิม และจะใช้โอกาสนี้ในการนำเสนอข้อเสนออย่างเป็นทางการ พร้อมแนบแผนที่และข้อมูลทางเทคนิคเพื่อให้การหารือมีประสิทธิภาพสูงสุด
ในขณะเดียวกัน ได้มีการจัดตั้ง คณะทำงานเฉพาะกิจ ภายใต้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้าน โดยมีการประชุมชุดเล็กไปแล้ว และในวันที่ 6 มิถุนายน จะมีการประชุมใหญ่เพื่อพิจารณาแนวทางในการดำเนินการระยะยาว
"หากมีข้อเสนอใดที่เหมาะสม เราก็พร้อมนำเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ เพื่อวางแนวทางร่วมกัน" เขากล่าว
วิเคราะห์เชิงลึก: ทำไม "สันติภาพ" จึงเป็นทางออกเดียว
จากสถานการณ์ทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการ รักษาความสัมพันธ์ที่เปราะบางกับกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกันยาวนาน แม้จะเคยมีข้อพิพาทที่นำไปสู่ความขัดแย้งหลายครั้งในอดีต
การเลือกใช้วิธี "ถอยเพื่อคุย" แทนที่จะ "เดินหน้าเพื่อชน" ถือเป็นท่าทีที่แสดงถึง วุฒิภาวะทางการเมือง และความเข้าใจในบริบทระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามไปสู่ความรุนแรงที่ควบคุมไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงที่ว่า ไม่มีใครอยากให้เกิดสงคราม ไม่ใช่แค่คำพูดเพื่อความสงบ แต่คือข้อเท็จจริงที่ทุกประเทศต่างเข้าใจดี เพราะสงครามไม่เพียงแต่สร้างบาดแผลทางกายและใจแก่ผู้คน แต่ยังทำลายเศรษฐกิจ ความมั่นคง และภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลก
สรุป
การเจรจาระหว่างนายภูมิธรรม เวชยชัย กับ พล.อ.เตีย เซยฮา อาจยังไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ในทันที แต่ถือเป็น ก้าวแรกของการคลี่คลายความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ซึ่งควรได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและภาคส่วนต่างๆ มากกว่าการวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงทำลาย
หากเราทุกคนมองเป้าหมายเดียวกัน คือ "ไม่อยากเห็นคนไทยและกัมพูชาต้องล้มตายเพราะความเข้าใจผิด" บางที การถอยหนึ่งก้าวในวันนี้ อาจเป็นการปูทางไปสู่ความมั่นคงระยะยาวของภูมิภาคอาเซียน













