อดีตพระพรหมเมธี รับทราบ 2 ข้อหา! ยื่น 4 แสนประกันตัว สู้คดีเงินทอนวัด
อดีตพระพรหมเมธี กลับไทยมอบตัวคดีเงินทอนวัด หลังลี้ภัยกว่า 7 ปีในเยอรมนี – ตำรวจแจ้ง 2 ข้อหา ฟอกเงิน-สนับสนุนเจ้าพนักงานละเว้นปฏิบัติหน้าที่
กลายเป็นอีกหนึ่งข่าวใหญ่ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในแวดวงศาสนาและสังคมไทย เมื่อมีรายงานว่าอดีตพระพรหมเมธี หรือพระจำนง ธมฺมจิตฺโต อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพระชั้นผู้ใหญ่ที่เคยตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตเงินทอนวัดเมื่อปี พ.ศ. 2561 ได้เดินทางกลับประเทศไทยจากประเทศเยอรมนี และเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางในช่วงเช้าของวันที่ผ่านมา
เดินทางกลับจากเยอรมนีหลังลี้ภัยนานกว่า 7 ปี
จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบว่าอดีตพระพรหมเมธีเดินทางจากเยอรมนีกลับถึงสนามบินในประเทศไทยในช่วงเช้ามืด ก่อนจะตรงไปยัง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อเข้ารายงานตัวและแสดงความจำนงขอเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยเดินทางมาถึงกองบัญชาการฯ ประมาณเวลา 07.30 น. พร้อมกับคณะผู้ติดตามและลูกศิษย์ที่เดินทางมาด้วยกันอย่างเงียบ ๆ และหลีกเลี่ยงการพบปะกับสื่อมวลชนที่ปักหลักรออยู่บริเวณโดยรอบตึก
อดีตพระพรหมเมธีใช้เวลาในการให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนยาวนานกว่า 6 ชั่วโมงเต็ม ก่อนจะเดินทางออกจากอาคารในช่วงเวลา 14.30 น. โดยมีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างระมัดระวัง ซึ่งลูกศิษย์ได้จอดรถตู้รอรับอยู่ที่บริเวณลิฟต์ของชั้นใต้ดินอย่างแนบเนียน และรีบนำตัวอดีตพระชั้นผู้ใหญ่ออกจากพื้นที่ทันที ท่ามกลางความสนใจของผู้สื่อข่าวและประชาชนที่ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ตำรวจแจ้ง 2 ข้อหาหนัก - อดีตพระยังคงให้การปฏิเสธ
จากแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับการสอบสวน เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่ออดีตพระพรหมเมธีตามหมายจับเดิมจำนวน 2 ข้อหา ได้แก่:
1. ร่วมกันฟอกเงิน
2. สนับสนุนเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ซึ่งทั้งสองข้อหาเกี่ยวข้องโดยตรงกับคดีทุจริตเงินทอนวัดที่สะเทือนวงการพระพุทธศาสนาไทย และทำให้มีการสอบสวนพระระดับสูงหลายรูปในช่วงปี 2561 จนกลายเป็นข่าวใหญ่ในสื่อทุกแขนง
อย่างไรก็ตาม จากการสอบปากคำเบื้องต้น อดีตพระพรหมเมธี ยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยเจ้าหน้าที่จะดำเนินการจัดทำบันทึกคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร ก่อนจะรวบรวมสำนวนเพื่อส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ยื่นขอประกันตัวในชั้นสอบสวน – วางเงินสด 4 แสนบาท
หลังจากการสอบปากคำเสร็จสิ้น อดีตพระพรหมเมธีได้ดำเนินการ ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นสอบสวน โดยวางหลักประกันเป็นเงินสดจำนวน 400,000 บาท ซึ่งเป็นไปตามสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้ต้องหาสามารถดำเนินการได้
ภายหลังการพิจารณาของพนักงานสอบสวน เห็นว่าอดีตพระพรหมเมธีเคยดำรงตำแหน่งเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ และ ไม่มีพฤติกรรมหลบหนีหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานในเบื้องต้น ประกอบกับการเดินทางกลับเข้ามามอบตัวด้วยตนเอง จึงมีมติ อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน โดยไม่ต้องคุมขังระหว่างดำเนินการตามกระบวนการของศาล
ย้อนรอยคดีเงินทอนวัด – บาดแผลวงการสงฆ์ไทย
สำหรับคดีเงินทอนวัด ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่จัดสรรให้กับวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ พบว่ามีการนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ รวมถึงมีการนำไปจ่ายคืนให้กับเจ้าหน้าที่บางราย หรือเรียกกันว่า “เงินทอน” ซึ่งถือเป็นการทุจริตในเชิงนโยบาย โดยในปี 2561 ได้มีการขยายผลสู่พระชั้นผู้ใหญ่หลายรูป ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
อดีตพระพรหมเมธี ซึ่งขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ และมีบทบาทในฝ่ายการศึกษา ได้ถูกออกหมายจับพร้อมกับพระสงฆ์รูปอื่น ๆ ในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
หลังถูกออกหมายจับ อดีตพระพรหมเมธีได้ เดินทางออกนอกประเทศ และยื่นขอลี้ภัยในประเทศเยอรมนี ซึ่งในเวลาต่อมา กลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างกว้างขวางว่าทำไมกระบวนการนำตัวกลับมาดำเนินคดีจึงไม่เกิดขึ้น จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงสถานะ และมีรายงานล่าสุดว่าเจ้าตัวตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทยด้วยตนเองเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
สื่อจับตา – คดีจะสะเทือนถึงใครอีกหรือไม่?
การกลับมาของอดีตพระพรหมเมธีครั้งนี้ ทำให้สื่อมวลชนและสังคมกลับมาให้ความสนใจต่อคดีเงินทอนวัดอีกครั้ง โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า จะมีการขยายผลทางคดีไปยังบุคคลอื่นเพิ่มเติมหรือไม่ รวมถึงบทบาทของอดีตพระพรหมเมธีในเครือข่ายเงินทอนที่กว้างขวางขณะยังดำรงสมณศักดิ์
ขณะเดียวกัน ก็ยังต้องจับตาดูว่าคำให้การของอดีตพระพรหมเมธีจะมีการเปิดเผยข้อมูลใหม่ใดที่อาจโยงไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลในวงการศาสนาเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งหากมีการเปิดเผยหรือขยายผลทางคดีอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบเชิงลึกต่อความเชื่อมั่นในระบบการจัดการงบประมาณของวัดและพุทธศาสนาโดยรวม
บทสรุป
การเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อมอบตัวของอดีตพระพรหมเมธีนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของคดีเงินทอนวัด ที่อาจช่วยให้ความจริงบางประการถูกเปิดเผยมากขึ้น และส่งผลต่อภาพลักษณ์ของวงการพระพุทธศาสนาไทยในระยะยาว แม้ว่าคดีนี้จะผ่านมาแล้วกว่า 7 ปี แต่สังคมยังคงจับตาว่าผลลัพธ์ของคดีนี้จะออกมาในทิศทางใด จะสามารถสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการปราบปรามการทุจริตในวงการศาสนาได้หรือไม่ หรือจะกลายเป็นเพียงแค่ข่าวใหญ่ที่จางหายไปตามกาลเวลา





















