ย้อนตำนานคดีปราสาทพระวิหาร แค่แผนที่ในกระดาษ ทำไทยเสียพื้นที่ให้กัมพูชา?
🔍 ย้อนคดีประวัติศาสตร์ “ปราสาทพระวิหาร” – จากแผนที่หนึ่งแผ่น สู่การเสียดินแดนที่ไทยต้องจำใจยอมรับ
กรณีพิพาทเรื่อง อธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร คือหนึ่งในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ฝังลึกอยู่ในความรู้สึกของคนไทยทั้งชาติ ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในเรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากการรบ หรือการรุกรานทางทหาร แต่เกิดจาก “แผนที่หนึ่งแผ่น” และ “ความนิ่งเฉย” ของไทยที่ส่งผลไกลถึงคำตัดสินระดับศาลโลกในปี พ.ศ. 2505 (1962) ที่ระบุว่า “ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาโดยเด็ดขาด”
📜 จุดเริ่มต้นของปัญหา: สนธิสัญญา 1904 และความคลุมเครือของแผนที่
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประเทศสยาม (ไทยในปัจจุบัน) ต้องเผชิญแรงกดดันจากจักรวรรดินิยมทั้งอังกฤษ (ที่ดูแลมลายูและพม่า) และฝรั่งเศส (ที่ครอบครองอินโดจีน) รัชกาลที่ 5 ทรงเลือกใช้ยุทธศาสตร์การทูต ด้วยการเจรจายอมเสียพื้นที่บางส่วน เพื่อรักษาเอกราชหลักไว้
ส่งผลให้เกิด สนธิสัญญาปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส เมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 1904 ที่กำหนดให้ใช้ “สันปันน้ำ” หรือแนวเทือกเขาดงรักเป็นหลักในการแบ่งเขตแดน
❗ แต่ปัญหาใหญ่เกิดขึ้นเมื่อต้องลงพื้นที่จริง...
ในปี 1905 คณะสำรวจร่วมระหว่างไทยและฝรั่งเศสได้เริ่มงาน โดยใช้กล้องวัดระดับและสายวัดตลอดแนวสันเขาดงรักกว่า 600 กิโลเมตร แต่เมื่อมาถึงบริเวณ “ปราสาทพระวิหาร” ที่ตั้งอยู่บนชะง่อนผาสูงชัน แนวแบ่งเขตตาม “สันปันน้ำ” ไม่สามารถกำหนดได้ชัดเจน
🗺️ “แผนที่ Annex I” – เอกสารเจ้าปัญหา
ในปี 1907 ฝ่ายฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ชุดหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือแผนที่ที่เรียกว่า “Annex I” ที่ลากเส้นเขตแดน “ผิด” จากแนวสันปันน้ำ โดยลากให้อ้อม “ครอบ” เอาตัวปราสาทพระวิหารไว้ในฝั่งอินโดจีน (คือกัมพูชา)
แม้แผนที่นี้จะถูกส่งมาไทยและเก็บไว้ในหีบเอกสารราชการ แต่ไม่มีหลักฐานใดระบุว่าเจ้าหน้าที่ไทยได้คัดค้านอย่างเป็นทางการ นักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่าในยุคนั้น ไทยยังขาดผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ และไม่ต้องการเปิดความขัดแย้งใหม่กับฝรั่งเศสหลังเหตุการณ์ ร.ศ.112
⚖️ จุดเปลี่ยน: กัมพูชายื่นฟ้องไทยต่อศาลโลก
หลังฝรั่งเศสถอนตัวจากอินโดจีนในปี 1954 ไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่ขึ้นไปดูแลปราสาทพระวิหาร พร้อมชักธงชาติขึ้นบนยอดปราสาทเป็นครั้งแรก
กัมพูชา ซึ่งเพิ่งได้รับเอกราชในปี 1953 ไม่เห็นด้วย และในปี 1959 เจ้าชายสีหนุก็ตัดสินใจยื่นฟ้องต่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ณ กรุงเฮก เพื่อเรียกร้องอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารโดยอ้างอิงแผนที่ Annex I ที่ไทยเคย “นิ่งเฉย” ไม่คัดค้านมาก่อน
⚖️ คำตัดสินประวัติศาสตร์ 15 มิถุนายน 1962
ศาลโลกลงมติ 9 ต่อ 3 วินิจฉัยว่า “ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา” โดยยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เรียกว่า “acquiescence” หรือ “การยอมรับโดยพฤติกรรม” แม้ไม่มีการให้สัตยาบันอย่างเป็นทางการ
แม้ศาลจะยอมรับว่าแผนที่ Annex I ขัดกับสนธิสัญญา 1904 ก็ตาม แต่ศาลตัดสินว่า “ไทยยอมรับโดยพฤตินัย” มาโดยตลอดเป็นเวลากว่า 50 ปี โดยไม่เคยประท้วงหรือปฏิเสธแผนที่นี้อย่างชัดเจน
🧾 สาระสำคัญจากคำตัดสิน:
ปราสาทพระวิหารและศิลปวัตถุทั้งหมดเป็นของกัมพูชา
ไทยต้องถอนทหารและเจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่
ไทยต้องคืนโบราณวัตถุที่เคยนำลงมาจากปราสาท
🇹🇭 ปฏิกิริยาในประเทศไทย: ความไม่พอใจที่ระอุขึ้น
คำตัดสินของศาลโลกได้จุดชนวนความไม่พอใจในหมู่ประชาชนทันที:
กลุ่มผู้ชุมนุมสวมชุดดำรวมตัวกันหน้าทำเนียบรัฐบาล เขียนป้ายเรียกร้อง “เอาปราสาทคืน”
บางสำนักพิมพ์เรียกร้องให้รัฐบาล “ยืนหยัดบนหลักสันปันน้ำ”
แต่รัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เลือกปฏิบัติตามคำตัดสินอย่างสงบ เพื่อไม่ให้เกิดสงคราม
🇰🇭 ขณะที่กัมพูชาเฉลิมฉลองชัยชนะ
ตรงกันข้ามกับบรรยากาศในไทย กรุงพนมเปญกลับเต็มไปด้วยการเฉลิมฉลอง:
เจ้าชายสีหนุเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ขึ้นยอดเขาดงรัก
ปักธงชาติกัมพูชาด้วยพระองค์เองบนลานปราสาทพระวิหาร
ถวายบังคมต่อพระศิวะและพระวิษณุอย่างเอิกเกริก
มีการจัดพาเหรดกลางเมืองด้วยรูปจำลองปราสาท
🔚 สรุป: บทเรียนจาก “ความนิ่งเฉย”
กรณีพิพาทปราสาทพระวิหารไม่ได้จบลงเพียงแค่คำตัดสินของศาล แต่ยังคงถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอเมื่อต้องพูดถึงประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และบทเรียนสำคัญของไทย คือ “อย่านิ่งเฉยเมื่อสิทธิของชาติถูกละเมิด”
เพียงแค่การไม่ทักท้วงในช่วงเวลาที่ควร… อาจหมายถึงการเสียแผ่นดินไปตลอดกาล












