แตกหัก? กัมพูชาเมินประชุม JBC กับไทย เดินหน้าฟ้องศาลโลก 4 พื้นที่พิพาท
⚠️ ศึกเขตแดนปะทุอีกครั้ง! กัมพูชาประกาศไม่ร่วม JBC พร้อมเดินหน้ายื่นศาลโลก ปมขัดแย้ง 4 พื้นที่สำคัญ ไทยเตือนเสี่ยงปะทะก่อนประชุม!
สถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเริ่มส่งสัญญาณตึงเครียดอีกระลอก หลังจากรัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ยืนยันไม่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC (Joint Boundary Commission) ซึ่งเดิมมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
พร้อมกันนั้น กัมพูชายังประกาศชัดเจนว่า จะเดินหน้านำข้อพิพาทชายแดน 4 จุดสำคัญเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งหมายของฝ่ายกัมพูชาในการผลักดันให้ความขัดแยงที่ควรจัดการได้ในกรอบทวิภาคี กลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศที่ต้องมี "บุคคลที่สาม" เข้ามาเกี่ยวข้อง
🔥 ปมขัดแย้ง 4 จุดที่กัมพูชาจะยื่นเข้าสู่ศาลโลก
ในแถลงการณ์ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พลเอก ฮุน มาเนต ได้ระบุพื้นที่ 4 จุดที่กัมพูชาถือว่า "ยังคงมีข้อพิพาท" และจะยื่นเข้าสู่การพิจารณาของ ICJ ได้แก่:
1. ช่องบก (บริเวณชายแดนอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี)
2. ปราสาทตาเมือนธม
3. ปราสาทตาเมือนโต๊ด
4. ปราสาทตาควาย
พื้นที่ทั้งหมดล้วนเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความมั่นคง โดยเฉพาะ "ปราสาทตาเมือนธม" ที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนและเคยเป็นประเด็นข้อพิพาทมาก่อน
📌 ความเห็นจากฝ่ายไทย: ขแมร์ต้องการลากไทยเข้าสู่เกมศาลโลกอีกครั้ง?
พล.ต.วันชนะ สวัสดี หรือ "ผู้พันเบิร์ด" รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยวิเคราะห์ว่า สิ่งที่ฝ่ายกัมพูชากำลังดำเนินอยู่นั้นมีความเป็นไปได้ว่า เป็นความพยายาม "เจตนาให้การหารือในระดับ JBC ล้มเหลว" เพื่อเปิดทางให้เกิดการปะทะหรือใช้กำลังทหารก่อนวันประชุม แล้วนำประเด็นนั้นไปอ้างต่อศาลโลกว่าตนเองถูกกระทำก่อน
“ความต้องการของขแมร์ คือทำให้ JBC ล้มเหลว หวังปะทะก่อนคุย แล้วลากเข้าสู่ศาลโลก เพื่อขยายผลและเรียกความนิยมในประเทศผ่านกระแสชาตินิยม” – พล.ต.วันชนะ
⚖️ เบื้องลึกศาลโลกและคำตัดสินปี 2556
ย้อนกลับไปในปี 2556 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเคยมีคำตัดสินเกี่ยวกับ "ปราสาทพระวิหาร" ซึ่งเป็นกรณีที่มีการร้องต่อศาลเมื่อปี 2554 และมีจุดเริ่มจากคำตัดสินเดิมของปี 2505 โดยศาลมีมติให้กัมพูชาครอบครองตัวปราสาทพระวิหาร แต่ไม่ได้ตัดสินชัดเจนเรื่องพื้นที่โดยรอบ 4.6 ตร.กม.
ฝ่ายไทยจึงปฏิบัติตามคำตัดสินอย่างเคร่งครัด ด้วยการไม่ส่งกำลังเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว ขณะที่กัมพูชาถือครองตัวปราสาทในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้ในพื้นที่นี้ไม่สามารถอ้างเหตุได้ง่าย ๆ
⚔️ สัญญาณเสี่ยง Black Swan ก่อน JBC?
พล.ต.วันชนะ เตือนว่า การที่กัมพูชาไม่ร่วม JBC ครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะมีความเสี่ยงอย่างยิ่งที่อาจเกิด “เหตุไม่คาดคิด” หรือ Black Swan เช่น การปะทะตามแนวชายแดน ซึ่งอาจไม่จำกัดแค่ช่องบก แต่รวมไปถึงปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาควาย
ทั้งนี้ ในมุมของฝ่ายทหารไทย ถือว่าไม่เหนือความคาดหมาย และได้เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ แต่ในเชิงการเมืองและการทูต นี่คือแรงสั่นสะเทือนที่อาจส่งผลกระทบระยะยาว
🌍 เป้าหมายแฝงของกัมพูชา: ยุทธศาสตร์ “ลากเข้าสู่เวทีโลก”
สิ่งที่น่าจับตาคือการเคลื่อนไหวของกัมพูชาที่ดูเหมือนจะมีแบบแผนในการพยายามนำปัญหาที่ควรเจรจาในระดับทวิภาคี ไปสู่ระดับโลก ด้วยเหตุผล 2 ประการสำคัญ:
1. หวังใช้กระแสชาตินิยมในประเทศ เพื่อสร้างความนิยมทางการเมือง โดยเฉพาะการสร้างภาพลักษณ์ของรัฐบาลว่า “ปกป้องดินแดน”
2. หวังยกระดับปัญหา ด้วยการดึง "บุคคลที่สาม" เข้ามาเป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งจะเปิดโอกาสให้กัมพูชาอ้างสิทธิ์ในพื้นที่อื่น ๆ เพิ่มเติมอีกในอนาคต
📣 ท่าทีของไทย: ยืนยันชัด “มีปัญหาก็คุยกัน ศาลโลกไม่เกี่ยว”
ฝ่ายไทยโดยกองทัพไทยยังคงยืนกรานท่าทีเดิมว่า ปัญหาชายแดนควรแก้ไขกันเองระหว่างสองประเทศ ผ่านกลไก JBC ที่จัดตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ ไม่ควรลากเข้าสู่ศาลโลกโดยไม่จำเป็น
ทหารไทยและประชาชนไทยพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบของกฎหมายระหว่างประเทศและแนวทางสันติภาพ
🧭 วิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์
ในระยะสั้น: ความตึงเครียดตามแนวชายแดนโดยเฉพาะ 4 จุดเสี่ยงอาจทวีความรุนแรงขึ้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีการเคลื่อนไหวทางทหารที่ผิดปกติ
ในระยะกลาง: ความล้มเหลวของ JBC อาจทำให้เกิดสุญญากาศทางการทูต ซึ่งเปิดช่องให้เกิดการเข้าใจผิด หรือเผชิญหน้าแบบไม่ตั้งใจ
ในระยะยาว: หากกัมพูชาสามารถยื่นเรื่องเข้าสู่ศาลโลกและได้รับการพิจารณา อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในภูมิภาคและอธิปไตยของไทยในบางพื้นที่
✅ สรุป: จุดเปราะบางของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชายังคงมีจุดเปราะบางที่ไม่สามารถมองข้ามได้ โดยเฉพาะประเด็น "ดินแดน" ที่มีทั้งมิติประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และยุทธศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง
ในขณะที่ฝ่ายไทยพยายามใช้กลไกทางการทูตและการหารือผ่าน JBC แต่ฝ่ายกัมพูชากลับเลือกที่จะใช้กลยุทธ์ทางกฎหมายระหว่างประเทศ โดยอาจหวังผลทางการเมืองภายในประเทศเป็นหลัก
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังไม่นิ่ง สิ่งสำคัญคือการคงไว้ซึ่งสติ การเตรียมพร้อมทั้งด้านทหารและการทูต และการสื่อสารกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้เกิดความเข้าใจและไม่ตกเป็นเหยื่อของการยั่วยุจากอีกฝ่าย


















