ผู้พันเบิร์ดแฉชัด! แผน “กัมพูชา” ที่คนไทยไม่เคยรู้ อ่านจบรู้ทันทันที
🔥 พล.ต.วันชนะ สวัสดี เตือน “ความต้องการของขแมร์” อาจใช้ JBC เป็นเกมการเมือง หวังขยายสู่ศาลโลก
เมื่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเริ่มกลับมาเป็นที่จับตามองอีกครั้ง พลตรีวันชนะ สวัสดี หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “ผู้พันเบิร์ด” รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ได้ออกมาแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Wanchana Sawasdee ถึงความเคลื่อนไหวและยุทธศาสตร์ของฝ่ายกัมพูชาในประเด็นชายแดน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการกำหนดการประชุม JBC (Joint Boundary Commission – คณะกรรมการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา)
🧩 เบื้องลึกจากโพสต์ “ผู้พันเบิร์ด” กับกลยุทธ์ของกัมพูชา
ในโพสต์ดังกล่าว พลตรีวันชนะให้ข้อมูลเชิงลึกว่า ความต้องการหลักของฝ่ายกัมพูชาในเวลานี้คือ การทำให้การเจรจา JBC ล้มเหลว ไม่สามารถตกลงกันได้ในระดับทวิภาคี และพยายามทำให้เกิดการใช้กำลังทางทหารหรือความปะทะระหว่างสองฝ่ายก่อนการหารือในระดับ JBC จะเกิดขึ้นจริง
เป้าหมายของกัมพูชานั้นชัดเจน คือ ต้องการ “ฉวยโอกาส” จากสถานการณ์ปะทะดังกล่าว เพื่อ ยกระดับข้อพิพาทขึ้นไปสู่เวทีศาลโลก (ICJ) และอ้างว่าถูกไทยรุกรานก่อน แม้ในความเป็นจริง อาจจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นการกระทำก่อนก็ตาม
"เขาจะอ้างว่าเขาถูกโจมตีก่อน ทั้ง ๆ ที่เขาโจมตีไทยเราก่อน แล้วจะไปอ้างต่อศาลโลก"
นี่คือกลยุทธ์เดิมที่ฝ่ายกัมพูชาเคยใช้มาก่อน และครั้งนี้อาจมีความแตกต่างตรงที่ไม่ใช่แค่พื้นที่ “ช่องบก” เท่านั้นที่อาจเกิดความตึงเครียด แต่อาจรวมไปถึงบริเวณ “ปราสาทตาเมือน” และ “ปราสาทตาควาย” ซึ่งล้วนเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ
🏛️ บทเรียนจาก “ปราสาทพระวิหาร” และคำตัดสินศาลโลก
สำหรับพื้นที่ปราสาทพระวิหาร พลตรีวันชนะอธิบายว่า ในปัจจุบัน กัมพูชาเป็นฝ่ายครอบครองตัวปราสาทอยู่แล้ว ตามคำตัดสินของศาลโลกในปี พ.ศ. 2556 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากการร้องเรียนเมื่อปี 2554 และเกี่ยวโยงกับคำตัดสินดั้งเดิมเมื่อปี พ.ศ. 2505
ฝ่ายไทยจึงยอมรับคำตัดสินและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยไม่ส่งกำลังเข้าไปในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่พิพาท เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
“เราทำตามกติกา ตามคำตัดสินศาลโลกทุกประการ”
นี่เป็นข้อได้เปรียบสำคัญที่ทำให้ฝ่ายกัมพูชา หาเหตุอ้างความชอบธรรมได้ยาก ในกรณีปราสาทพระวิหาร และอาจเป็นสาเหตุที่พวกเขาเลือกจะ “เลี่ยงการปะทะ” ในบริเวณนั้น แต่กลับพุ่งเป้าไปยังพื้นที่อื่นแทน
🎯 กลยุทธ์ “เลื่อน-เบี่ยง-โจมตี” และสิ่งที่ฝ่ายไทยต้องจับตา
พลตรีวันชนะตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า การที่กัมพูชากำหนดวันประชุม JBC ล่วงหน้า อาจไม่ได้มีเจตนาเพื่อการเจรจาอย่างจริงจังเสมอไป แต่อาจเป็นการ “ประวิงเวลา” เพื่อเตรียมความพร้อมทางทหาร และใช้จังหวะนั้นในการดำเนินกลยุทธ์ทางการเมืองหรือทางทหารให้เกิดความได้เปรียบ
โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายไทย “ไม่พร้อม” ตามมุมมองของกัมพูชา ซึ่งอาจนำไปสู่เหตุการณ์ปะทะที่กัมพูชาวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการยกระดับข้อพิพาทสู่เวทีระหว่างประเทศได้ในที่สุด
📌 เป้าหมายที่แท้จริงของกัมพูชา อาจไม่ใช่แค่ “ดินแดน”
แม้เป้าหมายหลักจะดูเหมือนเป็นเรื่องของการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดน แต่พลตรีวันชนะก็ชี้ว่า กัมพูชาอาจมีแรงจูงใจทางการเมืองภายในประเทศ ซ่อนอยู่ด้วย โดยการกระตุ้นกระแสชาตินิยม และการพยายามเรียกความนิยมให้กับกลุ่มการเมืองของตน ผ่านวิธีการยั่วยุข้อพิพาทชายแดน
“ดึงกระแสชาตินิยม และเรียกความนิยมให้กับกลุ่มการเมืองของตน แบบที่เคยทำมาตลอด”
นี่คือกลยุทธ์ที่ใช้ “ศัตรูภายนอก” เป็นเครื่องมือทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
⚔️ ไทยควรเตรียมพร้อมอย่างไร?
สิ่งที่ผู้พันเบิร์ดยืนยันคือ แนวทางของไทยควรยึดตามหลักการเจรจาแบบทวิภาคี หากมีปัญหาในจุดใด ก็ควรพูดคุยกันตรงจุดนั้น ไม่จำเป็นต้องให้ศาลโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง
“มีปัญหาตรงไหนก็คุยกันตรงนั้น ศาลโลกไม่เกี่ยว ปิดจบด้วย ทหารไทยและประชาชนไทยพร้อม”
นี่คือจุดยืนที่หนักแน่นว่า ฝ่ายไทยไม่หวังพึ่งการยกระดับข้อพิพาท แต่พร้อมเผชิญหน้าหากจำเป็น
ในมุมของทหาร แม้สถานการณ์ความเสี่ยงเช่นนี้จะไม่สามารถคาดเดาได้แน่ชัดในทางการเมือง (เรียกว่าเป็น “Black Swan” หรือเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย) แต่ ในมุมของการทหาร การเตรียมพร้อมนั้นมีอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่สิ่งที่ถูกมองว่าเกินความคาดหมาย
🔎 บทวิเคราะห์: เราควรอ่านเกมการเมืองข้ามพรมแดนอย่างไร?
การเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ที่ใช้การทูตผสมกับการทหาร และการเมืองภายในประเทศอย่างซับซ้อน การใช้ข้อพิพาทชายแดนเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลของตนเองไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ต้องรับมือด้วยความรอบคอบและหนักแน่น
ฝ่ายไทยต้องเดินเกมอย่างระมัดระวังทั้งในเวทีระหว่างประเทศและในเวทีภายในประเทศ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการยั่วยุ และต้องสามารถ สื่อสารความจริง ออกไปยังประชาคมโลกว่าประเทศไทยยึดหลักสันติภาพและปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด
✊ สรุป: คนไทยต้องไม่ตื่นตระหนก แต่ต้อง “รู้ทัน”
แม้สถานการณ์ในเวลานี้จะยังไม่มีการปะทะเกิดขึ้นจริง แต่บทวิเคราะห์ของผู้พันเบิร์ดก็ช่วยให้เรา “เห็นลึก” มากกว่าข่าวทั่วไป ว่าในโลกความขัดแย้งบางครั้ง เกมไม่ได้เล่นกันที่กระสุน แต่เล่นกันที่ การสร้างเงื่อนไขและบิดเบือนความชอบธรรม
ถึงเวลาที่ประชาชนไทยควรติดตามข่าวสารด้วยวิจารณญาณ และให้ความสนใจกับประเด็นชายแดน ไม่ใช่แค่ในมิติของความมั่นคง แต่รวมถึงมิติทางการเมืองและกฎหมายระหว่างประเทศด้วย
















