เดอ บรอยน์ ปัด 2 ทีมพรีเมียร์ลีก ก่อนซบนาโปลี
ในโลกของฟุตบอล ยุคสมัยอาจเปลี่ยนผ่านไปได้ในพริบตา นักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ที่เคยเป็นหัวใจของทีม กลายเป็นเพียงบทความในหน้าประวัติศาสตร์ที่ต้องมีตอนจบ ล่าสุดหนึ่งในตำนานที่กำลังเดินจากไปคือ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพชาวเบลเยียมของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ประกาศอำลาทีมหลังจบฤดูกาล 2024/25
แม้เจ้าตัวจะเคยเผยว่าอยากอยู่กับทีมต่อไป แต่ความเปลี่ยนแปลงภายในสโมสร รวมถึงแผนการรีเซ็ตทีมใหม่ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ทำให้ต้องถึงเวลาบอกลาถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยมอย่างเป็นทางการ ซึ่งแน่นอนว่า การอำลาในครั้งนี้ไม่ธรรมดา เพราะมีหลายสโมสรให้ความสนใจ โดยเฉพาะจาก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
แต่ที่น่าจับตามองคือ เดอ บรอยน์ได้ ปฏิเสธข้อเสนอจาก 2 สโมสรในพรีเมียร์ลีก ได้แก่
แอสตัน วิลล่า : ทีมม้ามืดที่ได้สิทธิ์ไปลุยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด : ทีมที่เคยคว้าแชมป์ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก และต้องการยกระดับทีมให้แกร่งขึ้น
ทั้งสองสโมสรต่างแสดงความต้องการดึงตัวเดอ บรอยน์ไปร่วมทัพแบบจริงจัง โดยยื่นข้อเสนอทางการพร้อมค่าเหนื่อยระดับสูง เพื่อดึงดูดเขาให้เล่นในอังกฤษต่อ แต่เจ้าตัวกลับเลือกที่จะไม่อยู่ในลีกเดียวกันกับทีมเก่า และหันไปรับความท้าทายใหม่กับ นาโปลี ทีมแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ฤดูกาล 2022/23 ที่เพิ่งผ่านช่วงปรับทีมครั้งใหญ่เช่นกัน
จุดเริ่มต้นในถิ่นเรือใบ
ย้อนกลับไปในปี 2015 เดอ บรอยน์ย้ายจากโวล์ฟสบวร์กมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัวราว 55 ล้านปอนด์ ซึ่งในเวลานั้นหลายคนตั้งคำถามว่า "ทำไมต้องจ่ายแพงขนาดนั้นกับนักเตะที่เคยไม่ประสบความสำเร็จกับเชลซี?"
แต่คำตอบค่อย ๆ ปรากฏบนสนามแข่งขัน ด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยม การจ่ายบอลที่แม่นยำ และการอ่านเกมที่เหนือชั้น เดอ บรอยน์ค่อย ๆ กลายเป็นหัวใจหลักของแมนซิตี้ และเป็นขุนพลคู่ใจของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ในการขับเคลื่อนทีมสู่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
ผลงานระดับตำนาน
ตลอด 9 ปีที่ค้าแข้งในสีเสื้อฟ้า เดอ บรอยน์ลงสนามมากกว่า 350 นัด ทำประตูได้กว่า 100 ประตู และจ่ายแอสซิสต์ถึง 177 ครั้ง ซึ่งเป็น สถิติอันดับ 2 ตลอดกาลในพรีเมียร์ลีก เป็นรองเพียง ไรอัน กิ๊กส์ ตำนานแมนยูเพียงคนเดียว
นอกจากผลงานส่วนตัว เขายังพาทีมกวาดแชมป์อย่างถล่มทลาย ได้แก่:
- พรีเมียร์ลีก 6 สมัย (2017–18, 2018–19, 2020–21, 2021–22, 2022–23, 2023–24)
- FA Cup 2 สมัย
- EFL Cup หรือคาราบาว คัพ 5 สมัย
- ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย (2022–23)
- ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ อย่างละ 1 สมัย
รางวัลส่วนตัวก็ไม่ธรรมดา เขาเคยคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีก, ได้รับเลือกติดทีมยอดเยี่ยมของยูฟ่า และยังเป็นนักเตะเบลเยียมที่มีอิทธิพลที่สุดในพรีเมียร์ลีกยุคใหม่
ทำไมถึงเลือกนาโปลี?
แม้จะมีข้อเสนอจากทีมอังกฤษและแม้จะรักสโมสรแมนซิตี้อย่างลึกซึ้ง แต่เดอ บรอยน์รู้ดีว่าเวลาของเขาในทีมกำลังจะหมดลง ภายใต้การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่ต้องการรีบูตทีมด้วยแข้งหนุ่มและปรับโฉมแท็คติกใหม่
นาโปลี กลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องความท้าทาย บทบาทในทีม และโอกาสในการเป็น "ผู้นำ" บนสนามอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังการอำลาของผู้เล่นตัวหลักอย่างควิชา ควารัตสเคเลีย และวิคเตอร์ โอซิมเฮน ที่อาจย้ายทีมในซัมเมอร์นี้
มีรายงานว่า เดอ บรอยน์ บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับนาโปลี เรียบร้อยแล้ว และจะรับค่าเหนื่อยใกล้เคียงกับที่ได้ในอังกฤษ ซึ่งถือว่าเป็นดีลที่คุ้มค่าทั้งสองฝ่าย โดยประธานสโมสรนาโปลีเองก็ออกมาแย้มว่า การประกาศอย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้
การจากลาที่ไม่ธรรมดา
แฟนบอลแมนซิตี้อาจรู้สึกใจหาย เพราะเดอ บรอยน์ไม่ใช่แค่ผู้เล่นระดับท็อป แต่ยังเป็นเหมือน “สมอง” ของทีมในช่วงยุครุ่งเรือง เขาคือคนที่สร้างสมดุลให้กับแดนกลาง จ่ายบอลเปลี่ยนเกมได้ในพริบตา และยกระดับเพื่อนร่วมทีมได้เสมอ
การที่เขาตัดสินใจไม่ย้ายไปทีมคู่แข่งร่วมลีก ถือเป็นการแสดงความเคารพต่อแมนซิตี้อย่างลึกซึ้ง และสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพในแบบที่แฟนบอลหลายคนยกย่อง
อนาคตหลังนาโปลี?
แม้อายุจะเข้าสู่ 33 ปี แต่ด้วยสไตล์การเล่นของเดอ บรอยน์ที่เน้นมันสมองมากกว่าพละกำลัง เขายังสามารถเล่นในระดับสูงได้อีกหลายปี หากไม่เจ็บหนัก การย้ายไปนาโปลีอาจต่อยอดสู่การค้าแข้งในกัลโช่ เซเรีย อา อย่างน้อย 2–3 ปี และอาจมีบทบาทในเวทียุโรปกับทีมใหม่อีกครั้ง
หลังจากนั้น อนาคตก็อาจเปิดกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการย้ายไปลีกอื่น เช่น เมเจอร์ลีก ซอกเกอร์ (MLS), กลับไปเบลเยียม หรือแม้แต่แขวนสตั๊ดพร้อมบทบาทโค้ชหรือผู้บริหารก็เป็นไปได้
สรุป: ตำนานที่ยังมีบทต่อไป
การปฏิเสธ 2 สโมสรจากพรีเมียร์ลีกและเลือกซบนาโปลีของ เควิน เดอ บรอยน์ ไม่ใช่แค่การย้ายทีมธรรมดา แต่มันสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพ, ความชาญฉลาดในการเลือกทางเดิน และการให้เกียรติกับอดีตต้นสังกัดอย่างแท้จริง
เดอ บรอยน์ไม่ได้จากไปอย่างเงียบ ๆ แต่จากไปพร้อมด้วยความเคารพของแฟนบอลทุกฝ่าย และผลงานระดับตำนานที่ยากจะลบเลือน ไม่ว่าจะในใจแฟนแมนซิตี้ หรือในหน้าประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
ความคิดเห็นส่วนตัวของครีเอเตอร์ กับ การไป นาโปลี ของ เควิน เดอะ บรอนซ์
การที่ เควิน เดอ บรอยน์ เลือกย้ายไปร่วมทีมนาโปลี ไม่ใช่แค่ “ดีลลูกหนังธรรมดา” แต่มันคือการตัดสินใจที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และวุฒิภาวะของนักเตะระดับโลกอย่างแท้จริง
ในมุมของครีเอเตอร์ เดอ บรอยน์ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้วในพรีเมียร์ลีก เขาคว้าแชมป์มาครบทุกรายการ ได้รับการยอมรับในฐานะมิดฟิลด์ระดับท็อป และฝากสถิติที่ยากจะมีใครตามทันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นการย้ายออกจึงไม่ใช่ “การหนีปัญหา” แต่เป็น “การเลือกเส้นทางใหม่ในช่วงปลายอาชีพอย่างมีเกียรติ”
การเลือกนาโปลีแทนที่จะเป็นทีมอื่นในพรีเมียร์ลีกที่พร้อมจ่ายแพงกว่าก็ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับ “ความท้าทายและบทบาท” มากกว่าชื่อเสียงหรือเงินทอง
นาโปลีเป็นเมืองที่คลั่งไคล้ฟุตบอล มีแฟนบอลที่พร้อมจะยกย่องผู้เล่นที่ทุ่มเท และลีกอิตาลีเองก็ขึ้นชื่อเรื่องแท็คติกและการเล่นแบบสมอง ผมว่ามันเข้ากับสไตล์ของเดอ บรอยน์มาก เพราะเขาไม่ใช่นักเตะที่ต้องวิ่งเป็นม้าอีกต่อไปแล้ว แต่ใช้วิธี “อ่านเกมและฆ่าเกม” ด้วยการจ่ายบอลเพียงหนึ่งจังหวะ
อีกอย่าง ตรีเอเต์อร์คิดว่าดีลนี้จะส่งผลดีต่อทั้งนาโปลีและเดอ บรอยน์ในภาพรวม
(สำหรับนาโปลี เขาคือประสบการณ์และคุณภาพที่ทีมกำลังขาด)
(สำหรับเดอ บรอยน์ เขาจะได้เป็นผู้นำจริง ๆ บนสนามอีกครั้ง)
มันอาจไม่ใช่ดีลที่เสียงดังเหมือนย้ายไปเรอัล มาดริดหรือบาเยิร์น แต่เรากล้าพูดว่า นี่คือหนึ่งในการย้ายทีมที่ “มีคลาส” และ “เหมาะสม” ที่สุดสำหรับนักเตะระดับตำนานคนนี้ค่ะ
ขอขอบคุณภาพหน้าปก จาก I
nstagram: Kevindebruyne 1 2 3
ขอขอบคุณภาพประกอบ จาก Instagram: mancity 1 3 4
ขอขอบคุณภาพประกอบ จาก Instagram: Kevindebruyne 2 5
อ้างอิงจาก: Instagram: Kevindebruyne, mancity




















