มหาดไทยสั่งการผู้ว่า 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา รับมือสถานการณ์เร่งด่วน
กรมการปกครอง สั่งเข้ม! ส่งหนังสือด่วนที่สุด ถึง 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา สั่ง 4 แนวทางคุมเข้มความสงบ หลังเหตุปะทะทหารไทย-กัมพูชา
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ภายใต้การนำของ นายไชยวัฒน์ จุนกิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง ได้มีการออกหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้ว่าราชการจังหวัด 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่ ตราด จันทบุรี สระแก้ว อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ เพื่อกำชับแนวทางปฏิบัติในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่บริเวณ ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งสร้างความกังวลใจต่อสถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนอย่างมาก
การออกหนังสือด่วนในครั้งนี้เป็นการแสดงถึงความห่วงใยของรัฐบาลต่อประชาชนในพื้นที่แนวชายแดน ซึ่งอาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอน และอาจนำไปสู่การลุกลามจนส่งผลต่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงอธิปไตยของประเทศในบริเวณชายแดน
เหตุการณ์ต้นตอ: ปะทะชายแดน ส่งผลต่อแผนรับมือระดับประเทศ
ตามรายงานเบื้องต้น เหตุปะทะที่ช่องบก เกิดขึ้นในบริเวณที่มีการจัดตั้งด่านชายแดนไทย-กัมพูชา และมีการเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ทหารทั้งสองฝ่าย ซึ่งแม้รายละเอียดเชิงลึกจะยังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่การตอบสนองจากหน่วยงานรัฐโดยเฉพาะกรมการปกครอง ถือเป็นสัญญาณเตือนชัดเจนว่า รัฐไทยต้องการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย
การรับมือกับสถานการณ์ชายแดนในลักษณะเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ต้องพึ่งพาเจ้าหน้าที่ทหารเท่านั้น แต่หน่วยงานพลเรือนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่โดยตรงอย่างกรมการปกครองก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในภารกิจที่เกี่ยวข้องกับ การอพยพ การชี้แจงข่าวสาร และการระดมทรัพยากรภาคพลเรือน
4 แนวทางสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ
เพื่อเตรียมพร้อมและรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น กรมการปกครองได้กำหนด 4 แนวทางปฏิบัติสำคัญให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ชายแดน ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้:
1. การเตรียมพร้อมในระดับพื้นที่
ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องสั่งการให้นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ทุกระดับ ดำเนินการตามภารกิจดูแลความมั่นคงภายในอย่างเข้มงวด โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ โดยต้อง:
ประเมินสถานการณ์ความเสี่ยง
ตรวจสอบจำนวนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง
จัดเตรียมแผนการอพยพ กำหนดจุดรวมพล และจุดพักพิง
จัดหาเจ้าหน้าที่ดูแลจุดพักพิง พร้อมเตรียมอาหาร น้ำ ยารักษาโรค และสิ่งจำเป็นพื้นฐาน
ปรับปรุงแผนเผชิญเหตุให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
เตรียมกำลังพลให้พร้อมทุกเมื่อเพื่อปฏิบัติการป้องกันและดูแลประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
ประสานความร่วมมือกับหน่วยทหารในการดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด
2. บทบาทของกองอาสารักษาดินแดน (อส.)
ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัด ต้องสั่งการให้เจ้าหน้าที่และสมาชิก อส. เตรียมความพร้อมทั้งด้านกำลังพลและอุปกรณ์เพื่อปฏิบัติงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะในพื้นที่ล่อแหลมที่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ทั้งนี้รวมถึง:
การเฝ้าระวังและลาดตระเวนพื้นที่ชายแดน
การจัดระเบียบพื้นที่ให้เป็นไปตามแผนความมั่นคง
การปฏิบัติตามแผน “พิทักษ์พื้นที่เขตหลัง” เพื่อป้องกันการซึมผ่านของบุคคลหรือกลุ่มที่อาจสร้างความวุ่นวาย
3. การประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน
การบริหารสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนจำเป็นต้องมีการสื่อสารที่ชัดเจนและต่อเนื่องกับประชาชน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง:
ชี้แจงให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์โดยไม่ปกปิด
สร้างความเข้าใจถึงขั้นตอนที่รัฐได้ดำเนินการ
ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน
ป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลือหรือข้อมูลบิดเบือนผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย
4. ระบบรายงานสถานการณ์แบบเร่งด่วน
หากเกิดสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อความไม่สงบ หรือส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ หน่วยงานในจังหวัดต้องรายงานสถานการณ์ให้กรมการปกครองทราบทันทีในวาระแรก เพื่อให้สามารถประเมินสถานการณ์และประสานการสนับสนุนจากส่วนกลางได้อย่างทันท่วงที และต้องมีระบบติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะคลี่คลาย
ผลกระทบและความคาดหวังจากภาคประชาชน
จากแนวทางปฏิบัติดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความจริงจังของรัฐบาลไทยในการควบคุมสถานการณ์ชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่มีความเปราะบางด้านความมั่นคง อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเหล่านี้จะประสบผลสำเร็จได้อย่างยั่งยืน ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคประชาชนในพื้นที่ด้วย
ประชาชนในพื้นที่ควรติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลเท็จ และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในขณะนี้ แม้จะยังไม่ลุกลามเป็นวิกฤตการณ์ใหญ่ แต่หน่วยงานรัฐก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ การวางมาตรการล่วงหน้าเช่นนี้ถือเป็นการเตรียมพร้อมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การปกป้องประชาชน และธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยในประเทศ
หากสถานการณ์มีความเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม คาดว่ากรมการปกครองและหน่วยงานความมั่นคงจะมีมาตรการอื่น ๆ ตามมา เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตอย่างมั่นใจ แม้ในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนอยู่ใกล้ชายแดน





















