ช็อกวงการผ้าเหลือง! พบคลิปฉาว-วิดีโอคอลสีกาในโน้ตบุ๊กพระครู คดียักยอกเงินวัด
ลำพูนสะเทือน! ชาวบ้านวัดศรีบุญยืนแฉอดีตเจ้าอาวาส ยักยอกเงิน-พฤติกรรมสุดฉาว พบคลิปอนาจารนับร้อยจากโน้ตบุ๊กส่วนตัว
ชาวบ้านจังหวัดลำพูน โดยเฉพาะผู้ศรัทธาวัดศรีบุญยืน ตำบลเหมืองง่า อำเภอเมืองลำพูน ต้องพบกับความตกใจและผิดหวังอย่างที่สุด เมื่อเรื่องราวอันน่าหดหู่ของอดีตเจ้าอาวาสที่เคยได้รับความเคารพนับถือในชุมชน กลับถูกเปิดโปงออกมาว่าอาจเกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินวัดจำนวนมหาศาล แถมยังมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมถึงขั้นอนาจาร สั่นสะเทือนวงการสงฆ์และชาวพุทธทั่วประเทศ
จุดเริ่มต้นของความสงสัย: เงินวัดหาย การก่อสร้างหยุดชะงัก
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ชาวบ้านและคณะกรรมการวัดกว่า 100 คน ได้ร่วมกันเข้าตรวจสอบบัญชีการเงินและการบริหารจัดการภายในวัดศรีบุญยืน หลังจากพบว่ากิจกรรมและโครงการก่อสร้างต่างๆ ภายในวัด เช่น อาคารศาสนสถาน เจดีย์ และอาคารสงฆ์ หยุดชะงักอย่างไม่มีเหตุผลชัดเจน
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ เงินที่ได้รับบริจาคผ่านงานบุญประจำปี เช่น กฐิน ผ้าป่า และการบริจาครายวัน ซึ่งมีจำนวนรวมกันหลายล้านบาท กลับไม่ปรากฏในบัญชีวัด ไม่มีหลักฐานการนำไปใช้งานวัดอย่างชัดเจน ทำให้คณะกรรมการและชาวบ้านเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าเงินจำนวนดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้โดยมิชอบ
พระครูตุ๊ลุงยอมรับเบื้องต้น แต่เลี่ยงการคืนเงิน
จากการตรวจสอบและการพูดคุยโดยตรงกับพระครูตุ๊ลุง (นามสมมุติ) ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีบุญยืน และยังเป็นเจ้าคณะตำบลเหมืองง่า ได้มีการยอมรับในเบื้องต้นด้วยวาจาว่า ได้นำเงินของวัดบางส่วนไปใช้ส่วนตัวจริง โดยอ้างว่าจะมีผู้นำเงินมาคืนภายในวันที่ 16 มกราคม 2568 แต่สุดท้ายกลับไม่มีการนำเงินมาใช้คืนแต่อย่างใด และเจ้าตัวก็หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น ชาวบ้านยังพบว่า อดีตเจ้าอาวาสมีพฤติกรรมชอบยืมเงินจากพระลูกวัด ไวยาวัจกร และแม้กระทั่งผู้รับเหมาที่เข้ามาทำงานก่อสร้างในวัด ส่งผลให้โครงการต่างๆ ติดขัด เพราะไม่มีเงินหมุนเวียน ผู้รับเหมาหลายรายถึงกับต้องหยุดงานและเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในภายหลัง
หลักฐานเด็ด: กู้คืนโน้ตบุ๊กเจอคลิปอนาจารตั้งแต่ปี 2548
เหตุการณ์รุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อมีผู้พบโน้ตบุ๊กส่วนตัวของอดีตเจ้าอาวาส ซึ่งตอนแรกถูกลบข้อมูลออกทั้งหมด แต่เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีช่วยกู้ข้อมูลกลับคืนมาได้ ก็พบกับสิ่งที่ไม่คาดคิดอย่างยิ่ง
ในเครื่องโน้ตบุ๊กดังกล่าวเต็มไปด้วยไฟล์คลิปวิดีโอและภาพอนาจารจำนวนมาก โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2548 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2567 มีทั้งคลิปวิดีโอคอลกับหญิงสาวในลักษณะเปลือยกายอาบน้ำ การทำออรัลเซ็กส์ การช่วยตัวเอง และภาพหญิงสาวที่ถูกขอให้ถ่ายภาพของสงวนให้ดู
สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านช็อกไปมากกว่านั้นคือ หนึ่งในคลิปที่พบมีการติดต่อกับครูสาวคนหนึ่งที่ยังคงพูดคุยกับอดีตเจ้าอาวาสมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่บางคลิปแสดงภาพของอดีตเจ้าอาวาสโอบกอดและจับหน้าอกหญิงสาว 1 ใน 3 ราย ที่มาพบกันที่วัด โดยปรากฏภาพจากกล้องวงจรปิดในช่วงเวลากลางวันอย่างชัดเจน
จากเจ้าอาวาสสู่พระไร้สังกัด หายตัวไปยังสำนักสงฆ์ในแม่ฮ่องสอน
หลังเกิดกระแสดังกล่าว ทางคณะสงฆ์จังหวัดลำพูนได้ดำเนินการปลดพระครูตุ๊ลุงออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส รวมถึงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลเหมืองง่า โดยพระครูฯ เองได้ยื่นใบลาออกจากวัดศรีบุญยืน และย้ายไปขออาศัยวัดแห่งหนึ่งในตำบลเวียงยอง ก่อนจะหายตัวไปจากพื้นที่
ภายหลังมีรายงานว่า อดีตเจ้าอาวาสยังไม่ลาสิกขา และยังสวมจีวรในสถานะพระสงฆ์อยู่ โดยหลบไปพำนักที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งในอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งไม่ขึ้นตรงต่อคณะสงฆ์หรือมหาเถรสมาคม ทำให้ทางการและชาวบ้านไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้โดยตรง
ชาวบ้านลำพูนตั้งคำถามต่อการทำงานของคณะสงฆ์และสำนักพุทธฯ
ความผิดหวังของชาวบ้านยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ในระดับคณะสงฆ์จังหวัดลำพูน และได้รับคำตอบว่า “ไม่รู้ว่าอดีตเจ้าอาวาสไปอยู่ที่ไหน หากผู้สื่อข่าวรู้ก็ช่วยบอกด้วย” พร้อมทั้งระบุว่าขณะนี้เป็นพระไร้สังกัด ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจในการดูแลของจังหวัดลำพูน
คำตอบดังกล่าวทำให้ประชาชนจำนวนมากรู้สึกสิ้นศรัทธา และตั้งคำถามถึงบทบาทของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และระบบการตรวจสอบพระสงฆ์ในประเทศไทยว่า ไม่มีมาตรการควบคุมที่จริงจังเพียงพอหรือไม่?
จี้หน่วยงานรัฐดำเนินการอย่างโปร่งใส
หลังเรื่องราวเผยแพร่สู่สาธารณะ ชาวบ้านวัดศรีบุญยืน รวมถึงชาวพุทธทั่วประเทศต่างเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, กองบังคับการปราบปราม, และหน่วยงานทางกฎหมาย ดำเนินการตรวจสอบเอาผิดอดีตเจ้าอาวาสอย่างเร่งด่วน โดยเน้นย้ำว่ากรณีนี้ไม่ได้เพียงกระทบต่อศรัทธาในวัดท้องถิ่น แต่ยังเป็นภัยต่อภาพลักษณ์ของศาสนาพุทธโดยรวม
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า พฤติกรรมในลักษณะนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นเป็นรายแรก และอาจมีกรณีอื่นๆ ซุกซ่อนอยู่ในสังคมสงฆ์ ซึ่งหากไม่มีระบบตรวจสอบและลงโทษที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ย่อมทำให้ศาสนสถานในไทยต้องเผชิญกับความเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว
กรณีของอดีตเจ้าอาวาสวัดศรีบุญยืน ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของเงินวัดหายหรือพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่เหมาะสม แต่มันคือบทเรียนครั้งใหญ่ที่สะท้อนถึงการขาดกลไกการควบคุมในระบบสงฆ์ และความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารวัดในประเทศไทยอย่างแท้จริง













