สะเทือนทั่วโลก! ทรัมป์ออกคำสั่งแบน 12 ชาติ ลาว-เมียนมาติดกลุ่มเสี่ยงด้านมั่นคง
ด่วน! ทรัมป์ออกคำสั่งแบน 12 ประเทศ ห้ามเข้าสหรัฐฯ เหตุผลด้านความมั่นคง – เมียนมาโดนหนักสุด ลาวโดนจำกัดบางส่วน
กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกที่สั่นสะเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างรุนแรง เมื่ออดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ออกคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญคือ “ห้ามและจำกัดการเดินทางเข้าประเทศ” ของพลเมืองจากหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ
คำสั่งนี้ถูกลงนามและประกาศใช้ในทันที โดยมีผลบังคับใช้กับ 12 ประเทศในลักษณะ "จำกัดเต็มรูปแบบ" และอีก 7 ประเทศที่ถูก "จำกัดบางส่วน" ซึ่งหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง คือ "เมียนมา" ประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่ถูกจำกัดการเดินทางอย่างเต็มที่ ขณะที่ "ลาว" ก็อยู่ในกลุ่มที่ถูกควบคุมบางส่วนเช่นกัน
รายชื่อ 12 ประเทศที่ถูก “ห้ามเข้าสหรัฐฯ อย่างเต็มรูปแบบ”
ตามรายงานจากสำนักข่าว Reuters และ CBS News คำสั่งของทรัมป์ได้ห้ามไม่ให้พลเมืองจาก 12 ประเทศต่อไปนี้เดินทางเข้าสหรัฐฯ อย่างเด็ดขาด ได้แก่:
1. อัฟกานิสถาน
2. เมียนมา
3. ชาด
4. คองโก
5. อิเควทอเรียลกินี
6. เอริเทรีย
7. เฮติ
8. อิหร่าน
9. ลิเบีย
10. โซมาเลีย
11. ซูดาน
12. เยเมน
ในจำนวนนี้หลายประเทศมีประวัติความขัดแย้งภายใน ความไม่มั่นคงทางการเมือง หรือความสัมพันธ์ตึงเครียดกับสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน เช่น อิหร่าน เยเมน และลิเบีย
แต่ที่ทำให้เกิดความสนใจอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือ การที่ “เมียนมา” ถูกบรรจุอยู่ในรายชื่อแบนเต็มรูปแบบเช่นเดียวกับประเทศที่มีสถานการณ์ความรุนแรงภายใน ซึ่งเป็นการแสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวของรัฐบาลทรัมป์ต่อสถานการณ์ในเมียนมาหลังรัฐประหารปี 2021
7 ประเทศที่ถูก “จำกัดบางส่วน” รวมถึง “ลาว”
นอกจาก 12 ประเทศข้างต้น ยังมีอีก 7 ประเทศที่สหรัฐฯ จะดำเนินมาตรการ "จำกัดการเดินทางบางส่วน" ได้แก่:
1. บุรุนดี
2. คิวบา
3. ลาว
4. เซียร์ราลีโอน
5. โตโก
6. เติร์กเมนิสถาน
7. เวเนซุเอลา
ในกลุ่มนี้ ประเทศอย่างคิวบาและเวเนซุเอลา เคยเป็นเป้าหมายของการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการทูตของสหรัฐฯ มาแล้วหลายครั้ง ส่วนกรณีของ “ลาว” นั้นถือเป็นเรื่องน่าสนใจ เนื่องจากแม้จะไม่ถูกห้ามเต็มรูปแบบ แต่การถูกจำกัดบางส่วนก็อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญต่อการเดินทาง การทำธุรกิจ และการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม คำว่า “จำกัดบางส่วน” ยังไม่มีการชี้แจงอย่างชัดเจนว่าจะมีรายละเอียดในเชิงนโยบายหรือกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองอย่างไร อาจเป็นเพียงการเพิ่มความเข้มงวดในการออกวีซ่า หรือการจำกัดเฉพาะบางกลุ่มบุคคล เช่น ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานของรัฐ
เหตุผลหลักของคำสั่ง – “ความมั่นคงแห่งชาติ”
คำสั่งของทรัมป์ครั้งนี้ไม่ได้ระบุรายละเอียดเชิงลึกว่าประเทศใดมีพฤติกรรมอย่างไร แต่ใช้เหตุผลกว้าง ๆ ว่าเพื่อปกป้อง “ความมั่นคงแห่งชาติ” ของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะจากภัยคุกคามด้านการก่อการร้าย การแทรกแซงจากต่างชาติ และการสอดแนม
ในแถลงการณ์ของทำเนียบขาวระบุว่า “หลายประเทศไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะให้ความร่วมมือในการตรวจสอบภูมิหลังของผู้เดินทางเข้าสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลต่อความเสี่ยงของการลักลอบเข้าประเทศโดยบุคคลที่อาจเป็นภัย”
แน่นอนว่าคำสั่งนี้ไม่ได้หลุดจากบริบทของนโยบาย “America First” ที่ทรัมป์ใช้เป็นแนวทางหลักตั้งแต่สมัยหาเสียงเลือกตั้งปี 2016 จนถึงช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
ปฏิกิริยาจากนานาชาติและกลุ่มสิทธิมนุษยชน
ทันทีที่คำสั่งดังกล่าวถูกเผยแพร่ กลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างออกมาแสดงความกังวล โดยชี้ว่ามาตรการนี้อาจเป็นการเหยียดเชื้อชาติ หรือใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าจะมีมูลความเสี่ยงที่แท้จริง
กลุ่ม American Civil Liberties Union (ACLU) ออกแถลงการณ์คัดค้านทันที โดยระบุว่า “นี่คือการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติที่อ้างเรื่องความมั่นคงเป็นข้ออ้าง”
เช่นเดียวกับรัฐบาลบางประเทศในรายชื่อ เช่น อิหร่าน และเวเนซุเอลา ที่ออกมาประณามว่าเป็นการแทรกแซงสิทธิของประชาชน และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อประชาชนและธุรกิจ
ในทางปฏิบัติ คำสั่งนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ที่มีแผนจะเดินทางเข้าสหรัฐฯ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านการท่องเที่ยว การศึกษา การทำงาน หรือแม้แต่เหตุผลด้านมนุษยธรรม เช่น การขอลี้ภัย
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบชัดเจน ได้แก่:
นักเรียนและนักศึกษาที่วางแผนไปศึกษาต่อ
ผู้ประกอบการที่มีธุรกิจหรือต้องเดินทางไปเจรจากับคู่ค้าสหรัฐฯ
ครอบครัวที่รอรวมตัวกันในสหรัฐฯ
ผู้ลี้ภัยที่กำลังอยู่ในกระบวนการขอความคุ้มครอง
ในกรณีของลาว แม้จะยังไม่ถูกแบนเต็มรูปแบบ แต่การจำกัดบางส่วนอาจทำให้เกิดความยุ่งยากในการขอวีซ่า และอาจกระทบต่อแผนการของคนจำนวนไม่น้อย
สรุป
คำสั่งห้ามและจำกัดการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ของทรัมป์ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่สะท้อนถึงแนวคิด “ชาติต้องมาก่อน” ที่เคยเป็นจุดแข็งของเขาในเวทีการเมืองสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ก็จุดประกายการถกเถียงในหลายแง่มุม ทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม และผลกระทบต่อพลเมืองบริสุทธิ์ในประเทศที่ได้รับผลกระทบ
สำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ “เมียนมา” และ “ลาว” ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากคำสั่งนี้ และต้องเตรียมพร้อมรับมือในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในมิติของความสัมพันธ์ทางการทูต การศึกษา และเศรษฐกิจในอนาคต


















