จับผิดทันควัน! “ฮุนเซน” โชว์รูปศาลาตรีมุข อ้างเป็นของกัมพูชา แต่ความจริงคือฝีมือทหารไทย
จับโป๊ะ! "ฮุนเซน" อ้างศาลาตรีมุขเป็นของกัมพูชา ที่แท้ทหารไทยสร้าง ใช้เป็นจุดประสานงาน 3 ประเทศมากว่า 30 ปี
กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคอินโดจีน เมื่อ สมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ได้โพสต์ภาพตนเองที่ ศาลาตรีมุข พร้อมข้อความที่อ้างว่า ศาลาแห่งนี้เป็นของประเทศกัมพูชา และใช้เป็นหลักฐานแสดงการมีสิทธิ์ในพื้นที่ใกล้แนวชายแดนบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานีของประเทศไทย
แต่เมื่อย้อนรอยประวัติศาสตร์ กลับพบข้อเท็จจริงที่น่าตกใจ — ศาลาตรีมุขดังกล่าวนั้น สร้างโดยกองทัพไทย เพื่อเป็น “ศูนย์สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ” ระหว่าง สามประเทศ ได้แก่ ไทย ลาว และกัมพูชา หลังความขัดแย้งทางชายแดนได้คลี่คลายลงตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2530
จุดเริ่มต้นของ "ศาลาตรีมุข" — สร้างด้วยน้ำใจ ไม่ใช่การแอบอ้าง
หากย้อนกลับไปในปี 2531-2534 หลังการประกาศนโยบาย "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า" ของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น รัฐบาลไทยได้ผลักดันให้เกิดความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ โดยเฉพาะกับลาวและกัมพูชา ที่เคยมีความขัดแย้งจากผลพวงของสงครามเย็น
จุดยุทธศาสตร์บริเวณ ช่องบก ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับแขวงจำปาสักของลาว และจังหวัดพระวิหารของกัมพูชา จึงถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่สัญลักษณ์ของ “ความร่วมมือและสันติภาพ” โดยมีการประสานงานระหว่าง กองทัพภาคที่ 2 ของไทย กับผู้แทนจากทั้งลาวและกัมพูชา
ศาลาตรีมุขจึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2534 โดยได้รับการออกแบบและก่อสร้างจาก หน่วยทหารร้อย ร.6022 ฉก.ร.6 ภายใต้การดูแลของ พล.ท.นรินทร์ มุทุกัณฑ์ รองผู้บัญชาการเฉพาะกิจขณะนั้น
คำว่า “ตรีมุข” มาจากภาษาสันสกฤต หมายถึง “สามด้าน” ซึ่งสื่อถึงสามประเทศที่ร่วมมือกัน ณ จุดนี้ ส่วนประชาชนในพื้นที่เรียกติดปากว่า “ศาลารวมใจ ไทย ลาว กัมพูชา” แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการเชื่อมโยงไมตรี ไม่ใช่การอ้างสิทธิ์ใดๆ ของประเทศใดประเทศหนึ่ง
ภาพเก่าชัดเจน — หลักฐานที่ฮุนเซนไม่พูดถึง
เมื่อมีการตรวจสอบภาพถ่ายเก่าในช่วงปี 1991 พบว่า มีภาพการก่อสร้างศาลาตรีมุขอย่างชัดเจน โดยมีทหารไทยและเจ้าหน้าที่จากหน่วยเฉพาะกิจ ฉก.ร.6 เป็นผู้ดำเนินการ ทั้งยังมีภาพบันทึกช่วงที่มีการเยี่ยมกำลังพลของหน่วยงานในช่วงการปรับปรุงพื้นที่
ข้อมูลเหล่านี้ถูกเปิดเผยโดยอดีตทหารที่เคยปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ ซึ่งยืนยันว่า จุดประสงค์ของศาลานี้ไม่ได้เป็นการแสดงอธิปไตยของประเทศใด แต่เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของทั้งสามประเทศได้มีพื้นที่พบปะ พูดคุย ประสานงานร่วมกัน โดยเฉพาะในยามที่เกิดข้อขัดแย้ง หรือเพื่อทำกิจกรรมสานสัมพันธ์ เช่น การแข่งขันกีฬา เทศกาลปีใหม่ หรือเทศกาลสงกรานต์
ไม่มีเอกสารทางการ แต่เต็มไปด้วย "ความตั้งใจดี"
แม้ว่าจะไม่มีเอกสารลายลักษณ์อักษรรับรองสิทธิ์ร่วมกันของทั้งสามประเทศต่อศาลาตรีมุข แต่ในการก่อสร้างและใช้งานศาลานี้ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา มีการประสานงานกันอย่างต่อเนื่องระหว่าง
ฝ่ายไทย: โดยผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และกองทัพภาคที่ 2
ฝ่ายลาว: ผู้ว่าราชการจังหวัดแขวงจำปาสัก
ฝ่ายกัมพูชา: ผู้ว่าราชการจังหวัดพระวิหาร
ทั้งหมดมีการพูดคุย ตกลงกันด้วย “หัวใจ” และ “ไมตรีจิต” ไม่ได้มีการแสดงความเป็นเจ้าของหรือผลประโยชน์แต่ฝ่ายเดียว
การเผาทำลาย และการยึดพื้นที่ — จุดเปลี่ยนความสัมพันธ์ชายแดน
กระทั่งเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ศาลาตรีมุข หรือศาลารวมใจ ถูกเผาทำลายกลางดึก และมีรายงานว่าเป็นฝีมือของ ทหารกัมพูชา ที่เข้ามาในพื้นที่บริเวณ สามเหลี่ยมมรกต จนนำไปสู่การรุกล้ำแนวเขตแดนประเทศไทยที่ช่องบกอย่างโจ่งแจ้ง
จากนั้นเพียงไม่กี่วัน ฮุนเซน ก็ออกมาโพสต์ภาพศาลาที่ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2553 พร้อมข้อความที่พยายามสื่อว่า พื้นที่บริเวณนี้และศาลาตรีมุขเป็นของกัมพูชา อีกทั้งยังอ้างว่า “ทหารกัมพูชาอยู่ตรงนี้มาก่อนปี 2543” ซึ่งขัดกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏอยู่ในเอกสาร ภาพถ่าย และคำให้การของเจ้าหน้าที่และประชาชนไทย
ศาลาตรีมุข: มากกว่าอาคาร แต่คือความหวังของสันติภาพ
สิ่งที่ควรเน้นคือ ศาลาตรีมุขไม่ได้เป็นแค่สิ่งปลูกสร้างธรรมดา แต่มันคือ "สัญลักษณ์แห่งความร่วมมือ" ของสามประเทศที่เคยมีอดีตขมขื่นจากสงครามและความขัดแย้ง แม้จะไม่มีเอกสารอย่างเป็นทางการรองรับสิทธิ์ในการครอบครอง แต่การดำรงอยู่ของมันมากว่า 30 ปี สะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของทั้งไทย ลาว และกัมพูชา
การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะออกมาอ้างสิทธิ์ว่าเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียวนั้น ไม่เพียงแต่จะขัดต่อข้อเท็จจริง แต่ยังเป็นการบั่นทอนความสัมพันธ์และบิดเบือนเจตนาแห่งสันติภาพของผู้ก่อตั้ง
บทสรุป: เมื่อภาพลักษณ์ชนกับความจริง
การโพสต์ของ “ฮุนเซน” อาจดูเหมือนมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นความภาคภูมิใจในชาติของชาวกัมพูชา แต่ในทางกลับกัน กลับสร้างความไม่พอใจต่อคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่รู้ดีถึงความเป็นมาของศาลาตรีมุขแห่งนี้
ด้วยข้อมูล ภาพถ่าย และคำให้การของผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก ทำให้ความจริงปรากฏชัดเจนว่า ศาลาตรีมุขเป็นผลงานที่สะท้อนเจตนาดีของไทยในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ใช่เครื่องมือทางการเมืองเพื่อแสดงอธิปไตยของชาติใดชาติหนึ่ง
หากเรายังต้องการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเคารพข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ และการเปิดใจยอมรับในความร่วมมืออย่างแท้จริง คือหนทางที่ควรเดิน มากกว่าการยึดติดกับวาทกรรมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองระยะสั้น




















