สารหนูเกินมาตรฐาน
วันที่ 4 มิ.ย. 68 น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เผยสารหนูเกินมาตรฐานในแม่น้ำกก-สาย-โขง ทั้งในน้ำและตะกอนดิน ขอเลี่ยงกินสัตว์น้ำ ถ้าตามข่าวเราจะเห็นว่า สารหนูที่ปนเปื้อนในแม่น้ำเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายในเร็ววันนี้ สิ่งที่ทำได้คือดูแลตัวเองให้มากที่สุด วันนี้เรามาดูกันว่า ไอ้เจ้าตัวสารพิษที่ว่านี้มันอันตรายขนาดไหนกัน
สารหนูเกินมาตรฐาน
ในความเงียบสงบของชีวิตประจำวัน เราอาจลืมไปว่า ภัยคุกคามบางอย่างไม่ได้มาในรูปของเสียงระเบิดหรือควันไฟ หากแต่มาในรูปของสิ่งเล็กจิ๋วที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แทรกซึมอยู่ในน้ำ ในดิน ในอาหาร และแม้กระทั่งในลมหายใจที่เราสูดเข้าไป หนึ่งในนั้นคือ “สารหนู” (Arsenic)
สารหนูคืออะไร
“สารหนู” เป็นธาตุกึ่งโลหะที่พบได้ในธรรมชาติในรูปของสารประกอบอินทรีย์และอนินทรีย์ โดยเฉพาะในชั้นดินและหินใต้พื้นผิวโลก มันไม่มีกลิ่น ไม่มีรส และในบางรูปแบบก็ละลายน้ำได้ดี นั่นหมายความว่า หากมีการปลดปล่อยหรือสะสมในแหล่งน้ำหรือดินเพาะปลูก มันก็สามารถเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารได้อย่างแนบเนียน
ในทางอุตสาหกรรม สารหนูเคยถูกใช้ในหลายวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าแมลง ยาเบื่อหนู หรือแม้แต่ในกระบวนการถลุงแร่ ขณะที่ในธรรมชาติเอง สารหนูสามารถหลุดออกมาจากหินแร่ได้เองตามธรรมชาติ ผ่านน้ำใต้ดิน หรือกระบวนการทางธรณีวิทยา
หากพูดในภาษาของสาธารณสุข สารหนูนั้นไม่ต่างจาก “ฆาตกรเงียบ” ที่บ่อนทำลายสุขภาพมนุษย์ทีละน้อย
การปนเปื้อนในระดับที่เกินมาตรฐาน
องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดค่ามาตรฐานของสารหนูในน้ำดื่มไว้ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร (10 ไมโครกรัมต่อลิตร) แต่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงบางส่วนของประเทศไทย กลับตรวจพบสารหนูในปริมาณที่ สูงเกินมาตรฐานหลายเท่า บางแห่งมีค่าเฉลี่ยสูงถึง 0.05-0.3 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งถือว่าเป็น “ระดับอันตราย” ต่อสุขภาพในระยะยาว
ต้นตอของการปนเปื้อนสารหนูมีทั้งจาก ธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการทำเหมืองแร่ ถลุงแร่ และกิจกรรมทางอุตสาหกรรมเคมี สารหนูอาจไหลลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ หรือสะสมในชั้นน้ำใต้ดิน แล้วถูกนำน้ำมาใช้บริโภคโดยไม่ผ่านการกรองที่เหมาะสม
ผลกระทบต่อสุขภาพ: พิษที่ซ่อนในรายละเอียด
เมื่อสารหนูเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะโดยการดื่มน้ำที่ปนเปื้อน การกินอาหารที่ปลูกในดินปนเปื้อน หรือแม้กระทั่งจากฝุ่นละออง มันจะสะสมทีละน้อยในตับ ไต และเนื้อเยื่อ โดยที่ร่างกายไม่สามารถขับออกได้หมด
ผลกระทบของการได้รับสารหนูอย่างต่อเนื่องในระยะยาว มีดังต่อไปนี้:
-
โรคมะเร็ง: โดยเฉพาะมะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับ และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
-
โรคเรื้อรังของระบบประสาท: เช่น ปลายประสาทอักเสบ มือเท้าชา และสมาธิลดลง
-
โรคหัวใจและหลอดเลือด: สารหนูมีผลต่อการหดขยายของหลอดเลือด ทำให้เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดสมอง
-
ระบบสืบพันธุ์และพัฒนาการของทารกในครรภ์: การได้รับสารหนูในหญิงตั้งครรภ์สามารถส่งผลให้ทารกมีน้ำหนักต่ำ คลอดก่อนกำหนด หรือเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตผิดปกติ
ในบางกรณี หากได้รับสารหนูในปริมาณมากในระยะเวลาอันสั้น เช่นจากแหล่งน้ำปนเปื้อนอย่างหนัก อาจเกิดอาการเฉียบพลัน เช่น อาเจียน ท้องเสีย หายใจติดขัด และหากไม่รักษาอย่างทันท่วงที อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ขอหยิบยกตัวอย่างจากกรณีศึกษาของเมือง “Hazaribagh” ในบังกลาเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนสารหนูในน้ำใต้ดินสูงที่สุดในโลก ประชากรกว่าล้านคนได้รับผลกระทบ ผู้คนจำนวนมากมีจุดดำบนผิวหนังที่เป็นสัญญาณแรกของสารหนูสะสม และบางรายมีเนื้องอกปรากฏตามร่างกายแต่เยาว์วัย นี่ไม่ใช่ภาพจากนิยายไซไฟ แต่คือความจริงของชีวิตที่ต้องอยู่กับน้ำพิษ
แนวทางการแก้ไขและป้องกัน
เมื่อเข้าใจถึงอันตรายของสารหนู การป้องกันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่สุด โดยสามารถทำได้ในหลายระดับ:
-
การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะแหล่งน้ำใต้ดินในพื้นที่ที่มีประวัติการทำเหมืองหรืออุตสาหกรรมเคมี
-
การใช้เทคโนโลยีกรองสารหนู เช่น เทคโนโลยี Reverse Osmosis หรือสารกรองจำเพาะที่สามารถดักจับสารหนูได้
-
การให้ความรู้แก่ประชาชน ว่าความใสของน้ำไม่ได้หมายถึงความปลอดภัย
-
การออกกฎหมายควบคุมแหล่งกำเนิด เช่นโรงงานที่มีการปล่อยของเสียอันตราย
-
ส่งเสริมการใช้แหล่งน้ำสะอาดสำรอง เช่น การเก็บน้ำฝนเพื่อใช้ดื่ม หรือการพัฒนาโครงข่ายน้ำประปาที่ควบคุมคุณภาพได้จริง
ภัยจากสารหนูไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่สิ่งที่ควรมองข้ามเพียงเพราะมันไม่ส่งเสียง สารหนูไม่ได้ฆ่าคนในวันเดียว แต่มันพรากคุณภาพชีวิตไปทีละน้อย เราในฐานะผู้บริโภคไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทั้งหมด แต่เราสามารถเรียกร้องระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสร้างความมั่นใจว่า น้ำที่เราดื่มเข้าไปในแต่ละวัน ไม่ใช่พิษที่รอวันทำลายสุขภาพเราอย่างเงียบงัน




















