พี่เต้ รด.ปี 3 ฟิตจัด! พร้อมลุยทุกภารกิจ แค่กองทัพเอ่ยชื่อ
"พี่เต้ พระราม 7" ฟิตเต็มพิกัด ประกาศชัด พร้อมรบเพื่อชาติ! เตรียมร่างกาย-ทบทวนอาวุธ รอคำสั่งกองทัพ มั่นใจถ้ารบ ต้องชนะ!
ในช่วงที่สถานการณ์โลกและภูมิภาคยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงกระแสความตื่นตัวในเรื่องความมั่นคงของชาติ มีหลายฝ่ายเริ่มแสดงออกถึงความพร้อมของตนเองในยามที่ประเทศต้องการ ล่าสุด หนึ่งในบุคคลที่ออกมาประกาศอย่างชัดเจนถึงความพร้อมทั้งกายและใจในการปกป้องประเทศ คือ "มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์" หรือที่ประชาชนรู้จักกันดีในชื่อ "พี่เต้ พระราม 7" นักการเมืองและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เคยเป็นประธานกรรมาธิการการทหาร
แม้จะไม่ได้มีตำแหน่งรัฐมนตรีหรืออยู่ในสายงานทหารโดยตรงในปัจจุบัน แต่ความรักชาติและจิตวิญญาณนักรบของเขายังเปี่ยมล้น เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าตัวได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาและความสนใจจากชาวโซเชียลอย่างมาก โดยเนื้อหาของโพสต์มีความชัดเจน ตรงไปตรงมา และเปี่ยมไปด้วยพลังใจที่พร้อมลุย
โพสต์เด็ด “พร้อมรบได้เสมอ” จุดกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์
ข้อความจากโพสต์ของพี่เต้ มีเนื้อหาว่า:
“หากชาติมีภัย กำลังรบไม่พอ ผมก็พร้อม รอกองทัพเรียกกำลังพลสำรอง ได้ตลอด ช่วงนี้จึงต้องฟิตมาก วิดพื้น เดินไกล เวท ทบทวนอาวุธ รอไว้
#จบ รด.ปี 3 - อดีต กมธ.ทหาร เต้ พระราม 7
เมื่อทหารอยู่ในพื้นที่รบ ควรฟังแม่ทัพเท่านั้น ส่วน นักการเมือง ไม่จำเป็นต้องฟัง เพราะเขาคิดหลายมิติจนตัดสินใจไม่ได้ ไม่ทัน
ถ้าเรารบ ต้องชนะ อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
ข้อความนี้กลายเป็นไวรัลในเวลาไม่นาน โดยเฉพาะแฮชแท็ก #เต้พระราม7 ที่หลายคนหยิบไปแชร์ต่อในหลากหลายแพลตฟอร์ม เพราะสะท้อนถึงท่าทีที่เด็ดเดี่ยวและชัดเจนในการวางตัวเป็น “กำลังเสริมของชาติ” ที่พร้อมยืนเคียงข้างกองทัพไทยทันทีเมื่อมีภัยคุกคามต่อประเทศ
ไม่ใช่แค่คำพูด แต่ “ฟิตจริง” พี่เต้โชว์การเตรียมพร้อมด้วยร่างกาย
จากการติดตามกิจกรรมของพี่เต้ในช่วงหลัง พบว่าเขาไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียว แต่ยังลงมือทำอย่างจริงจัง มีการฟิตร่างกายสม่ำเสมอ ทั้งการวิดพื้น เดินไกล และเวทเทรนนิ่ง เพื่อรักษาความแข็งแรงทางร่างกายให้พร้อมสำหรับทุกสถานการณ์
“ไม่ใช่แค่โพสต์เท่ ๆ แต่ผมทำจริงครับ เพราะถ้าวันหนึ่งกองทัพต้องการ ผมอยากเป็นหนึ่งในคนที่ตอบรับได้ทันที ไม่ต้องเตรียมตัวใหม่” เขากล่าวกับผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์
นอกจากนี้ เขายังระบุว่าตนเองมีพื้นฐานทางทหารจากการจบหลักสูตร รด.ปี 3 และเคยมีประสบการณ์ในบทบาท กรรมาธิการการทหาร ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทำให้เขาคุ้นเคยกับระบบงานของกองทัพเป็นอย่างดี รู้จักทั้งยุทธศาสตร์ การใช้กำลังพล รวมถึงการจัดการด้านงบประมาณและอาวุธยุทโธปกรณ์
"ในสนามรบ ต้องฟังแม่ทัพ ไม่ใช่นักการเมือง" – มุมมองชัดเจนเรื่องความเป็นผู้นำ
อีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจ คือประโยคเด็ดในโพสต์ของเขาที่ว่า “เมื่อทหารอยู่ในพื้นที่รบ ควรฟังแม่ทัพเท่านั้น ส่วนนักการเมืองไม่จำเป็นต้องฟัง เพราะเขาคิดหลายมิติจนตัดสินใจไม่ได้ ไม่ทัน”
ข้อความนี้สะท้อนมุมมองอย่างตรงไปตรงมาของพี่เต้ต่อบทบาทของผู้นำในภาวะวิกฤติ เขามองว่าการรบเป็นสถานการณ์ที่ต้องการความเด็ดขาด การตัดสินใจทันเวลา และไม่ควรถูกถ่วงด้วยกระบวนการคิดเชิงการเมืองที่อาจขัดกับสภาพความจริงในสนามรบ
แม้คำพูดนี้จะมีเสียงวิจารณ์จากบางฝ่ายว่ารุนแรงหรืออาจตีความไปในทางลบต่อฝ่ายการเมือง แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนจำนวนไม่น้อยที่เห็นด้วยกับหลักการนี้ โดยเฉพาะในกรณีที่ความมั่นคงของชาติอยู่ในภาวะเสี่ยง
เบื้องหลังความคิด: จิตวิญญาณของ “ทหารประชาชน”
พี่เต้ไม่ได้เป็นนายทหารยศใหญ่โต ไม่ใช่นักการเมืองที่มีบทบาทสูงในฝ่ายบริหาร แต่เขาเลือกจะวางตนเป็น “ทหารประชาชน” ที่พร้อมสละชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย หากเกิดภัยสงครามหรือเหตุการณ์ฉุกเฉิน เขาไม่ลังเลที่จะเข้าร่วมเป็นแนวหน้าอย่างไม่รีรอ
สิ่งที่ทำให้ผู้คนชื่นชมเขาไม่ใช่แค่การโพสต์ข้อความ “ขายเท่” แต่คือความต่อเนื่องในแนวคิดและการกระทำ เขาไม่เคยทิ้งหลักการ “รับใช้ชาติ” แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งในกองทัพหรือรัฐบาลในช่วงเวลานี้
เสียงสะท้อนจากประชาชน: “พี่เต้พูดในสิ่งที่คนทั่วไปคิด”
ในโลกออนไลน์ มีการแสดงความเห็นจำนวนมากต่อโพสต์นี้ หลายคนมองว่าเป็นการเตือนใจให้ประชาชนไม่ลืมเรื่องความมั่นคง และให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อมทางกายภาพและจิตใจ เพราะสถานการณ์โลกในปัจจุบันไม่มีอะไรแน่นอน
ความคิดเห็นที่พบบ่อย ได้แก่:
“อย่างน้อยพี่เต้ก็แสดงจุดยืนชัด ไม่มัวแต่โทษคนอื่น”
“ทุกวันนี้คนที่พร้อมแบบนี้ไม่ค่อยมี ขอให้รักษาอุดมการณ์ไว้ครับ”
“ไม่ได้สนับสนุนสงคราม แต่ชื่นชมความพร้อมของผู้ชายคนนี้”
สรุป: คนธรรมดาที่มีหัวใจของนักรบ
ไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่กับแนวคิดของพี่เต้ พระราม 7 แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ เขากลายเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่แสดงจุดยืนชัดเจนต่อเรื่อง “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” และ “ความมั่นคงของแผ่นดิน” มากที่สุดคนหนึ่งในยุคปัจจุบัน
ในวันที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก การมีคนที่พร้อมลุกขึ้นประกาศความตั้งใจเช่นนี้ อาจไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง แต่ก็เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนหันมาทบทวนว่า หากวันหนึ่งประเทศต้องการ…เราจะยืนอยู่ตรงไหน?





















