"เคลียร์ทุกดราม่า! น้องเดียร์เปิดผลตรวจ HIV ยันความบริสุทธิ์ ลุยดำเนินคดีแอคหลุม"
มมส. แถลงกรณี “น้องเดียร์” ถูกแอบอ้างติดเชื้อ HIV ยันผลตรวจ “เป็นลบ” พร้อมเอาผิดผู้ปล่อยข่าวเท็จ
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2568 ที่ห้อง MBS Co-Working Space คณะการบัญชีและการจัดการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้มีการจัดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ โดยมี รศ.ดร.จรวย สาวิถี คณบดีคณะการบัญชีและการจัดการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร, น้องเดียร์ – นิสิตชั้นปีที่ 2 และคุณแม่ของน้อง ร่วมชี้แจงข้อเท็จจริง หลังเกิดกระแสข่าวบิดเบือนที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ซึ่งระบุว่า "นิสิตบัญชี 02 มมส ติดเชื้อ HIV และมีเพศสัมพันธ์กับชายหลายคน"
ข้อมูลดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านเพจเฟซบุ๊กชื่อ “น้องใหม่ มมส 69” และใน TikTok โดยมีการแอบอ้างชื่อของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม พร้อมระบุตัวตนของนิสิตอย่างชัดเจน ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงทั้งต่อชื่อเสียงของบุคคลและสถาบัน
คณบดีฯ ชี้ข้อมูลบิดเบือน ทำลายนิสิตและสถาบันอย่างไม่เป็นธรรม
รศ.ดร.จรวย สาวิถี ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดียเป็น “ข้อมูลบิดเบือน” และไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับข้อเท็จจริง พร้อมยืนยันว่าเพจ “น้องใหม่ มมส 69” และบัญชี TikTok ที่โพสต์ข้อมูลดังกล่าว ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคณะฯ หรือมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด
หนึ่งในโพสต์ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนัก คือวิดีโอของน้องเดียร์ ที่เคยโพสต์แนะนำมหาวิทยาลัยบน TikTok ถูกนำมารีอัปโหลดโดยผู้ใช้แอคเคานต์นิรนาม พร้อมระบุว่าเธอคือ “เดียร์ บัญชี 02” ที่ติดเชื้อ HIV ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนทั่วไป และก่อให้เกิดการแชร์ข้อมูลผิด ๆ ในวงกว้างอย่างรวดเร็ว
“การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง สร้างความเสียหายทั้งทางชื่อเสียงและจิตใจของนิสิตอย่างชัดเจน” รศ.ดร.จรวยกล่าว พร้อมระบุว่า คณะฯ ได้ให้ความช่วยเหลือกับนิสิตในทุกด้าน ทั้งด้านจิตใจและการดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของนิสิต
มหาวิทยาลัยเอาผิดผู้กระทำความผิดตามกฎหมายคอมพิวเตอร์
คณะการบัญชีและการจัดการ ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีต่อผู้ที่กระทำผิดในหลายข้อหา อาทิ การแอบอ้างชื่อหน่วยงาน และการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 และจะดำเนินการเอาผิดให้ถึงที่สุด
คณะฯ ยังย้ำเตือนประชาชนให้เคารพสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น โดยเฉพาะการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ หากไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ อาจทำให้เกิดความเสียหายที่ยากจะเยียวยา
น้องเดียร์ และคุณแม่ ยืนยัน “ไม่ติดเชื้อ” พร้อมโชว์ผลตรวจเลือด
ในระหว่างการแถลงข่าว น้องเดียร์ และคุณแม่ ได้นำหลักฐานผลตรวจเลือดจากโรงพยาบาลของรัฐออกมายืนยันต่อสื่อมวลชนว่า ผลการตรวจหาเชื้อ HIV เป็นลบ และไม่เป็นไปตามข่าวลือแต่อย่างใด
คุณแม่ของน้องเดียร์เผยว่า ตนรู้สึกตกใจและเสียใจอย่างมากเมื่อเห็นข่าวหลุดออกมาในลักษณะนี้ จากตอนแรกที่เห็นข้อความโพสต์ก็คิดว่าเป็นข่าวปลอมธรรมดา แต่เมื่อมีการนำคลิปของลูกสาวที่เคยโพสต์แนะนำมหาวิทยาลัยไปตัดต่อ พร้อมระบุว่าเป็นผู้ติดเชื้อ HIV พร้อมพาดพิงชื่อชายหลายคน ยิ่งสร้างความเสียหายและบั่นทอนจิตใจของทั้งแม่และลูกอย่างรุนแรง
“ยอดวิวคลิปนั้นพุ่งถึงกว่า 6 แสนวิว และถูกแชร์มากกว่า 60,000 ครั้ง ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องจริงเลย คนที่ไม่รู้จักลูกเราก็เชื่อข่าวปลอมนี้ไปแล้ว” คุณแม่กล่าวด้วยความเสียใจ
“โดนประจานในโซเชียลจนเสียความเป็นมนุษย์” – เสียงจากน้องเดียร์
น้องเดียร์ – นิสิตหญิงผู้ตกเป็นเหยื่อของข่าวปลอม ได้ออกมาเปิดใจทั้งน้ำตาว่า เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อความรู้สึก ชื่อเสียง และศักดิ์ศรีของตัวเอง เธอยืนยันว่าไม่เคยรู้จักหรือเกี่ยวข้องกับรายชื่อผู้ชายที่ถูกกล่าวถึงในข่าว และทุกสิ่งที่ถูกเผยแพร่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงแม้แต่น้อย
“จากแอคหลุมที่เอาคลิปของหนูไปโพสต์ หนูพยายามติดต่อขอให้ลบ แต่กลับโดนบล็อก และมีการท้าทายด้วยถ้อยคำหยาบคาย เช่น ‘ดีแต่ขู่อย่างกับหมา’ ซึ่งมันทำร้ายจิตใจหนูมาก” – น้องเดียร์เล่า
เธอยอมรับว่ารู้สึกอับอายกับการที่ต้องออกมาเปิดเผยเรื่องส่วนตัว แต่เพราะไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด จึงตัดสินใจยืนหยัดต่อสู้กับข่าวลวงครั้งนี้ พร้อมย้ำว่า การแชร์ข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ อาจทำลายชีวิตคนหนึ่งได้อย่างไม่มีทางย้อนกลับ
วอนสังคมใช้วิจารณญาณ และหยุดการแชร์ข้อมูลเท็จ
คณะฯ ฝากถึงสื่อมวลชนและประชาชนว่า การแชร์หรือแสดงความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียควรเป็นไปด้วยความรับผิดชอบ ไม่ใช่เพียงเพื่อความบันเทิงหรือเรตติ้ง แต่ควรคำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา โดยเฉพาะกับผู้ที่ถูกกล่าวหา ซึ่งอาจต้องเผชิญกับการถูกตัดสินจากสังคมก่อนที่ข้อเท็จจริงจะปรากฏ
คุณแม่ของน้องเดียร์กล่าวปิดท้ายว่า “อยากให้ทุกคนเสพข่าวด้วยสติ และอย่าด่วนตัดสินใครจากข้อมูลที่ยังไม่ยืนยัน ความเข้าใจผิดเพียงครั้งเดียวอาจเปลี่ยนชีวิตคนได้ทั้งชีวิต”

















