สมองที่ไหลจากทรัมป์ อาจกลายเป็นกำไรของสมองส่วนที่เหลือของโลก
เมื่ออเมริกากำลังผลักมันสมองออกนอกประเทศ ใครกันที่ได้ประโยชน์?
สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้...จะพาไปจับประเด็นที่อาจดูเป็นเรื่องในแวดวงนโยบาย แต่จริง ๆ แล้วกระทบคนทั้งโลก — รวมถึงเราในเอเชียด้วย
ข่าวนี้เริ่มจากปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า “สมองไหล (Brain Drain)” ซึ่งหมายถึงการที่ผู้มีการศึกษาสูง นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และเทคโนโลยีขั้นสูง พากัน “ย้ายออก” จากสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงหลังนโยบายของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาได้รับการสนับสนุนอีกครั้ง
คำถามคือ… นี่คือหายนะของอเมริกาหรือกำไรของโลก?
🧳 จุดเริ่มต้นของ “สมองไหลยุคใหม่”
ย้อนกลับไปในยุคทรัมป์ (2017-2021) นโยบายด้านการเข้าเมืองมีความเข้มข้นขึ้นมาก โดยเฉพาะกับ:
- การจำกัดจำนวนวีซ่าทำงาน (เช่น H-1B)
- การตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้นสำหรับนักวิจัยจากจีน, อิหร่าน, รัสเซีย
- การลดจำนวนการรับผู้ลี้ภัยและแรงงานฝีมือ
- แนวโน้ม “America First” ที่ลดบทบาทของสหรัฐในความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ
แม้หลายมาตรการเหล่านี้จะถูกย้อนกลับบางส่วนภายใต้รัฐบาลไบเดน แต่เมื่อทรัมป์ส่งสัญญาณชัดเจนว่า “จะกลับมาอีก” ในนโยบายเข้มข้นกว่าเดิม กลุ่มมันสมองจำนวนมากก็ตัดสินใจ “ไม่รอให้โดนผลักออก”
ผลก็คือ นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรระดับหัวกะทิจำนวนมากกำลังย้ายไปยัง:
- แคนาดา (ที่มีระบบวีซ่าง่าย และยินดีต้อนรับนักวิจัย)
- ยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, สวีเดน
- ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
- และแม้แต่ จีน สิงคโปร์ อินเดีย ที่เริ่มกลายเป็น “บ้านใหม่” ของนวัตกรรม
🌍 จาก “สมองไหลออก” เป็น “สมองเข้ามา”
หากเรามองสหรัฐฯ เป็น “ถังรวบรวมมันสมองโลก” มาหลายทศวรรษ ก็ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เท่ากับ “รูรั่ว” ขนาดใหญ่ของอเมริกาเอง
แต่สำหรับประเทศอื่น?
นี่อาจเป็น “โชคทางยุทธศาสตร์” ที่หาได้ยาก
แคนาดาเปิดตัวโปรแกรมรับผู้เชี่ยวชาญ AI และวิศวกรทันที โดยไม่ต้องมีข้อเสนอจากนายจ้างล่วงหน้า
สหภาพยุโรปเสนองบสนับสนุนงานวิจัยนานาชาติในวงเงินที่สูงขึ้น
แม้แต่ดูไบและซาอุดีอาระเบีย ก็เริ่มสร้าง “เมืองวิทยาศาสตร์” เพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญระดับโลก
📉 อเมริกากำลังเสียเปรียบจริงไหม?
ใช่ค่ะ แม้จะยังมีบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Google, Apple, Amazon แต่ “ความได้เปรียบเชิงบุคลากร” ของอเมริกากำลังถูกบั่นทอนอย่างช้า ๆ และชัดเจน
จากข้อมูลของสมาคมวิศวกรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์สหรัฐ (IEEE):
- จำนวนนักศึกษาต่างชาติที่เรียนจบแล้วขอวีซ่าอยู่ทำงานต่อในสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020
- การขอวีซ่าทำงาน (H-1B) สำหรับนักวิจัยลดลงกว่า 25%
- ขณะที่จำนวนสิทธิบัตรด้าน AI จากบริษัทในจีน, เยอรมนี, แคนาดา เพิ่มขึ้นกว่า 40% ใน 5 ปี
🇹🇭 แล้วไทยได้อะไรจากเรื่องนี้?
อย่าเพิ่งคิดว่าเรื่องนี้ไกลตัวเรานะคะ เพราะมันคือโอกาสระดับประเทศเลยทีเดียว
หลายประเทศในเอเชียกำลังเร่งพัฒนานโยบายเพื่อ “ต้อนรับสมองที่ถูกผลักออกจากอเมริกา”
- สิงคโปร์มีวีซ่าสำหรับนักวิจัยและสตาร์ทอัพชั้นนำจากทั่วโลก
- ไต้หวันเสนองบวิจัยและการลงทุนสำหรับ AI และเทคโนโลยีชีวภาพ
- อินเดียเปิดศูนย์วิจัยร่วมกับ MIT และ Stanford
หากไทยสามารถสร้างระบบที่ “ต้อนรับ” ผู้เชี่ยวชาญ และมีทุนสนับสนุนจริงจัง ประเทศเราก็สามารถกลายเป็นจุดหมายใหม่ของสมองระดับโลกได้เหมือนกัน
🧠 สรุปสั้น ๆ: สมองที่ไหลจากอเมริกา อาจกลายเป็นขุมพลังของโลก
- นโยบายของทรัมป์ทั้งในอดีตและอนาคต ทำให้นักวิจัย-วิศวกรระดับโลกตัดสินใจย้ายประเทศ
- ประเทศที่มีระบบรับคนเก่งแบบเปิดกว้าง จะได้ “โบนัสทางนวัตกรรม” แบบไม่ต้องสร้างเอง
- อเมริกาเริ่มเสียความได้เปรียบด้านบุคลากร หากนโยบายกีดกันยังดำเนินต่อ
- ไทยและประเทศในเอเชียควรใช้โอกาสนี้ “แย่งสมอง” เข้ามาให้ได้
💬 ...ทิ้งท้าย
การไหลของมันสมองในโลกวันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของวีซ่าหรือภาษี แต่คือ “เกมยุทธศาสตร์ระยะยาว” ที่จะกำหนดว่าใครจะเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า
โลกไม่ได้รอให้ใครพร้อมค่ะ
และอเมริกาเอง… ก็อาจกำลังเปิดทางให้คนอื่นก้าวขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง
อ้างอิงจาก: bbc cnn















