คลิปว่อน! นักเรียนปะทะเดือดครูสาว ปมสั่งทำโทษสุดโหด ดื่มน้ำปนก้นบุหรี่
นักศึกษาเทคนิคดังเดือด! ปะทะครูสาว หลังถูกลงโทษให้ดื่มน้ำผสมกันบุหรี่ ชาวเน็ตเดือดจัด ผอ.สั่งย้ายด่วน!
กลายเป็นเหตุการณ์ที่จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์อย่างรุนแรง เมื่อมีคลิปวิดีโอเหตุการณ์ในวิทยาลัยเทคโนโลยีชื่อดังแห่งหนึ่งในอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ถูกเผยแพร่ออกมา พร้อมกับเสียงวิจารณ์จากสังคมอย่างกว้างขวาง หลังครูสาวรายหนึ่งใช้วิธีลงโทษนักศึกษาชายที่แอบสูบบุหรี่ในสถานศึกษา ด้วยการให้นักศึกษาดื่มน้ำที่ผสมกับ "กันบุหรี่" หรือเศษก้นบุหรี่ โดยในคลิปยังปรากฏคำพูดไม่เหมาะสมหลายคำที่หลุดออกจากปากครู ขณะที่มีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงระหว่างครูและกลุ่มนักเรียน สุดท้าย ผู้อำนวยการวิทยาลัยต้องสั่งย้ายครูรายนี้ทันทีเพื่อระงับกระแส
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์: เมื่อ "การลงโทษ" กลายเป็นดราม่าร้อนแรง
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 โดยกลุ่มนักศึกษาชายประมาณ 10 คนจากวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ ถูกจับได้ว่าแอบสูบบุหรี่ภายในพื้นที่ของวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดกฎระเบียบของสถานศึกษาอย่างชัดเจน
ครูสาวที่รับผิดชอบดูแลด้านปกครอง ได้เรียกนักศึกษาเหล่านี้มาทำโทษ โดยใช้วิธีที่สร้างความตกใจให้แก่ผู้ที่ได้ชมคลิป นั่นคือการนำน้ำผสมกับเศษก้นบุหรี่แล้วให้นักศึกษาดื่ม โดยอ้างว่าเป็นการสั่งสอนให้หลาบจำ
นอกจากนั้น ยังมีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคายกับนักเรียน เช่น “ปากมึงดีจังเลย” และ “กฎระเบียบยังทำไม่ได้” ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่นักศึกษาบางคน และกลายเป็นการโต้เถียงเสียงดังลั่นจนต้องมีครูคนอื่นเข้ามาแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกัน
คลิปหลุดว่อนเน็ต จุดประเด็นร้อนทั่วโซเชียล
คลิปเหตุการณ์ถูกถ่ายโดยเพื่อนนักเรียนด้วยกันเอง ก่อนจะถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ จนกลายเป็นไวรัลในเวลาไม่นาน โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครอง ที่ต่างก็มีมุมมองต่อเหตุการณ์นี้อย่างหลากหลาย
หลายเสียงในโลกโซเชียลเห็นพ้องกันว่า แม้นักศึกษาจะทำผิดจริงจากการแอบสูบบุหรี่ แต่การลงโทษด้วยวิธีการให้น้ำผสมก้นบุหรี่ดื่มนั้น ถือว่าเกินกว่าเหตุ เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของสารเคมีที่ตกค้างจากบุหรี่ ไปจนถึงความเสี่ยงด้านสุขอนามัย
แบ่งเป็นสองฝั่ง! สังคมตั้งคำถาม: ครูลงโทษเพื่อสั่งสอนหรือทำร้ายจิตใจ?
ด้านหนึ่งของสังคมมองว่าการลงโทษดังกล่าวเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินไป ครูไม่ควรใช้วิธีที่บั่นทอนทั้งสุขภาพกายและจิตใจของเด็ก ขณะเดียวกันยังมีการตั้งคำถามถึงจรรยาบรรณครู ว่าการใช้คำหยาบและการโต้เถียงกับนักเรียนในลักษณะนี้ สะท้อนถึงอะไรเกี่ยวกับวุฒิภาวะของผู้เป็นผู้ใหญ่
ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าเด็กก็ควรจะเคารพกฎระเบียบ และเมื่อทำผิดก็สมควรได้รับการลงโทษ เพื่อให้เข็ดหลาบและไม่กล้าทำผิดอีก แต่กระนั้น หลายคนก็ยอมรับว่า วิธีการลงโทษในครั้งนี้อาจไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม
ผอ.เคลื่อนไหวแล้ว สั่งย้ายด่วน พร้อมเรียกผู้ปกครองเข้าหารือ
ท่ามกลางกระแสวิพากษ์ที่ถาโถม ทางผู้บริหารของวิทยาลัยไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยมีรายงานว่า ผู้อำนวยการวิทยาลัยได้ออกคำสั่งย้ายครูสาวรายดังกล่าวออกจากหน้าที่เดิมที่อยู่ฝ่ายปกครอง ให้ไปปฏิบัติหน้าที่อื่นแทนในทันที เพื่อระงับกระแสความไม่พอใจของสังคม
นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมเรียกประชุมผู้ปกครองของนักศึกษาที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งพูดคุยกับครูสาวคนดังกล่าว เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงและหาทางออกร่วมกัน โดยทางผู้อำนวยการจะมีการให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนในช่วงเย็นของวันที่ 31 พฤษภาคม 2568
นักวิชาการเตือน: การลงโทษที่ไม่สร้างสรรค์ อาจก่อปัญหาระยะยาว
นักจิตวิทยาและนักการศึกษาหลายรายได้ออกมาแสดงความเห็นต่อกรณีนี้ว่า การลงโทษนักเรียนด้วยวิธีที่ละเมิดสิทธิหรือส่งผลเสียต่อร่างกาย อาจนำไปสู่ผลกระทบทางจิตใจในระยะยาว และทำให้เด็กเกิดความรู้สึกต่อต้านระบบ หรือไม่เชื่อมั่นในครูและสถาบันการศึกษาอีกต่อไป
อีกทั้งยังชี้ว่า การลงโทษเชิงสร้างสรรค์ เช่น การให้ทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือจัดกิจกรรมอบรมเกี่ยวกับโทษของบุหรี่ อาจได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในแง่ของการปลูกฝังพฤติกรรมที่ดีในระยะยาว
เสียงจากนักเรียนและผู้ปกครอง: “เราต้องการความเข้าใจ ไม่ใช่ความรุนแรง”
หลังเหตุการณ์เกิดขึ้น มีนักเรียนบางคนออกมาโพสต์แสดงความคิดเห็นว่า “บางทีพวกเราแค่ต้องการคำแนะนำที่ดี ไม่ใช่การลงโทษที่ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า”
ขณะที่ผู้ปกครองบางรายแสดงความห่วงใย โดยระบุว่า “เราส่งลูกมาเรียนเพื่อให้เขาได้รับการศึกษา ไม่ใช่เพื่อให้เขาได้รับการกระทำแบบนี้ ถึงจะทำผิดก็สมควรสั่งสอนด้วยวิธีที่มีเหตุผล”
เหตุการณ์นี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสะท้อนถึงปัญหาเรื่องการใช้ "อำนาจในการลงโทษ" ที่อาจเลยเถิดจากขอบเขตของการสั่งสอน และกลายเป็นการสร้างบาดแผลในใจให้กับผู้เรียนมากกว่าจะช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ในโลกปัจจุบันที่สังคมให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน และการศึกษาเชิงพัฒนา สิ่งที่ครูควรคำนึงถึงไม่ใช่เพียงแค่การควบคุมนักเรียนให้ทำตามกฎเท่านั้น แต่ต้องใช้ความเข้าใจ เสียงแห่งเหตุผล และการสื่อสารที่เป็นมิตรเพื่อให้การสั่งสอนนั้น “เข้าใจได้” และ “เข้าถึงใจ” ของนักเรียนอย่างแท้จริง





















