สรุปเหตุการณ์ช่องบก ไทย-กัมพูชา
โดยเหตุปะทุขึ้นในช่วงเวลา 5:45 น ของวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา
บริเวณช่องบกอำเภอน้ำยืนจังหวัดอุบลราชธานี การปะทะใช้เวลา 10 นาทีแล้วก็สิ้นสุดลงหลังจากการเจรจาของผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการตกลงกัน แต่กัมพูชายังคงยืนยันว่าจะไม่ถอยออกจากพื้นที่ทั้งหมด
ทั้งฝั่งทหารไทยบอกว่าฝั่งกัมพูชาเข้ามาขุดช่องคูเลตประมาณ 650 เมตรในบริเวณดินแดนที่เป็นพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งในปัจจุบันบริเวณนั้นทั้งไทยและกัมพูชายังไม่สามารถอ้างสิทธิ์ในพื้นที่นั้นได้
ช่องบกอยู่ในบริเวณพื้นที่พิพาทระหว่างเขตแดนเป็นพื้นที่ทับซ้อนอยู่รอยต่อระหว่างไทยกัมพูชาและลาวเรียกว่าสามเหลี่ยมมรกต ในส่วนช่องบกนี้ก็เป็นพื้นที่ที่ไทยติดกับกัมพูชา ในปัจจุบันพื้นที่เขตแดนไม่ได้ชัดเจนและแต่ละประเทศก็ใช้แผนที่คนละฉบับในขณะที่ไทยใช้แผนที่ในอัตราส่วน 1 ต่อ 50,000 ซึ่งเป็นแผนที่ที่ละเอียดกว่าในปัจจุบัน ส่วนกัมพูชาใช้แผนที่ในอัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งมีความละเอียดน้อยกว่าทำขึ้นเลยช่วงที่ฝรั่งเศสยังคงยึดครองพื้นที่นั้นอยู่ ทำให้ฟังกัมพูชาไม่ได้ยอมรับแผนที่ไทยทำให้หลายส่วนที่เป็นชายแดนของไทยที่ติดกับกัมพูชามักจะมีปัญหา
ปัจจุบันพื้นที่นี้อยู่ว่าด้วยการรักษาสถานะ MOU43 หรือบันทึกความเข้าใจระหว่าง 2 ประเทศปี 2543 เพื่อป้องกันการปะทะ
ของทั้งสองประเทศออกมาได้ 2 มุมจากฝั่งไทยก็บอกว่ากัมพูชาเข้าใจผิดและเริ่มปะทะก่อน ส่วนข่าวที่ออกจากกัมพูชาก็บอกว่าฝั่งไทยเริ่มก่อนและทหารกัมพูชาเสียชีวิตด้วย 1 ราย
ล่าสุดฮุน เซน ได้ออกแถลงการณ์และให้สัมภาษณ์ย้ำจุดยืนของกัมพูชาว่า บริเวณที่เกิดเหตุนั้นเป็นดินแดนของกัมพูชามาตั้งแต่ก่อนมี MOU 2543 ทั้ง 2 ประเทศกำลังแก้ไขด้วยการเจรจา สำหรับอาวุธที่เอาเข้าไปนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อก่อสงครามแต่เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้าย ในกรณีที่ถูกรุกรานก็จะใช้สิทธิ์ปกป้องดินแดนและอธิปไตยของชาติ
มีคำถามมาถึงฮุนเซนว่าในกรณีที่ทหารไทยบุกนครวัดจะเป็นอย่างไร
ฮุนเซนได้ตอบคำถามว่า ถ้าเกิดในกรณีนั้นขึ้นก็จะแสดงให้สหประชาชาติเห็นฝั่งไทยเป็นคนรุกรานและจะใช้กองทัพทำลายกองทัพไทย
กองทัพของกัมพูชาไม่ได้มีกองทัพอากาศแต่ก็มีตาข่ายฟ้าเป็นปืนต่อสู้อากาศยานที่ดี นั่นก็คือจรวดต่อสู้อากาศยานKS-1C ซึ่งมาจากจีน
ฮุน เซน ได้ย้ำว่ากัมพูชาพร้อมที่จะยิงเครื่องบินของไทยหากมีความจำเป็น ซึ่งสะท้อนถึงท่าทีที่แข็งกร้าวและพร้อมเผชิญหน้าหากสถานการณ์บานปลาย
จากการหารือระหว่างผู้บัญชาการทหารบกของไทยและกัมพูชา ได้มี 3ข้อตกลงดังนี้
* ให้แก้ไขปัญหาผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหาการปักปันเขตแดน โดยคาดว่าจะมีการจัดประชุมภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
* ให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในจุดที่เหมาะสมและลดการเผชิญหน้า
* ให้รักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศและใช้ความอดทนอดกลั้น
แต่หลังจบการเจรจา ทางด้านฝั่งกัมพูชากลับออกมาเพิ่มข้อเรียกร้องเองอีก 1 ข้อนั่นก็คือกัมพูชาจะไม่ถอนกำลัง หรือวางกำลังโดยไม่ติดอาวุธ ณ จุดที่เกิดการปะทะ เพราะบริเวณดังกล่าวกัมพูชาได้ครอบครองมาตั้งแต่ก่อนมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการรังวัดและกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาปี 2543
ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายได้เคลื่อนตัวออกจากพื้นที่ที่เคยปะทะกันเพื่อจะคลี่คลายสถานการณ์ และผู้บังคับบัญชาทั้ง2ฝ่าย ย้ำชัดว่าจะดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาชัดเจน
รัฐบาลทั้งสองประเทศได้ออกมาเตือนประชาชนว่าระวังผู้ไม่หวังดีที่มีความชาตินิยมสูงหวังใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้














