แฉหมด! 3 สาวเทศบาลแสบ ปลอมเอกสารผู้ป่วย ถอนเงินรัฐกว่า 2 ล้าน เล่นหวยหมดเกลี้ยง
สะเทือนวงการท้องถิ่น! รวบ 3 เจ้าหน้าที่เทศบาลพิจิตร แอบใช้ข้อมูลคนพิการ-ผู้ยากไร้ ปลอมเอกสารกู้เงินกว่า 2 ล้านบาท ใช้หนี้นอกระบบ-เล่นหวยออนไลน์
ถือเป็นข่าวใหญ่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการราชการท้องถิ่นและสังคมไทย เมื่อเจ้าหน้าที่ระดับเทศบาลเมืองพิจิตร 3 ราย ถูกตำรวจกองปราบปรามรวบตัวคาที่ทำงาน พร้อมหลักฐานมัดแน่น หลังร่วมกันวางแผนอย่างแยบยล ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มประชาชนผู้เปราะบาง ได้แก่ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้มีรายได้น้อย เพื่อปลอมแปลงเอกสารและยื่นขอสินเชื่อบัตรเงินสดจากหลายธนาคาร โดยไม่ให้เจ้าของตัวจริงรู้เห็น จนสามารถเบิกถอนเงินรวมกว่า 2 ล้านบาทไปใช้จ่ายส่วนตัว
จุดเริ่มต้นของพฤติกรรมฉ้อโกงที่แสนแนบเนียน
พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. พร้อมทีมสืบสวนจากกองบังคับการปราบปราม แถลงว่าเหตุการณ์นี้เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 เมื่อผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ซึ่งประกอบด้วย
น.ส.บุรีย์ อายุ 42 ปี เจ้าหน้าที่แผนกนักวิชาการเงินและบัญชี,
น.ส.จุฬาพร อายุ 55 ปี เจ้าหน้าที่นักจัดการงานทั่วไป,
น.ส.อมรรัตน์ อายุ 51 ปี ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล
ทั้งหมดปฏิบัติงานอยู่ใน เทศบาลเมืองพิจิตร จ.พิจิตร ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนเองในการเข้าถึงข้อมูลชาวบ้านในชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในสถานะยากลำบาก เช่น ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย
โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้อ้างกับชาวบ้านว่าจะนำเอกสารส่วนตัว เช่น บัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน และข้อมูลบัญชีธนาคาร ไปดำเนินเรื่องเพื่อขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการ ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุน สิ่งของ หรือโครงการช่วยเหลือต่าง ๆ ซึ่งทำให้ชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อและมอบเอกสารให้โดยไม่ทันระวัง
แผนปลอมแปลงเอกสารระดับสูง ทำเสมือนจริงจนธนาคารหลงกล
หลังจากได้รับเอกสารส่วนตัวจากเหยื่อ กลุ่มผู้ต้องหาได้นำข้อมูลเหล่านี้ไปปลอมแปลง โดย ตัดต่อภาพใบหน้าของเหยื่อใส่ลงในชุดข้าราชการ และออกเอกสารรับรองเงินเดือนปลอมในนามเทศบาล พร้อมปลอมรายการเดินบัญชีให้ดูมีความน่าเชื่อถือ โดยทำให้บัญชีมีความเคลื่อนไหวระดับหลายหมื่นบาทในแต่ละเดือน ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่าผู้ขอกู้มีอาชีพและรายได้มั่นคง
เมื่อเตรียมเอกสารปลอมเสร็จสิ้น พวกเขาได้นำไปยื่นสมัครบัตรกดเงินสดและบัตรเครดิตกับธนาคารหลายแห่ง รวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร และ ธนาคารกสิกรไทย โดยใช้ชื่อและข้อมูลของผู้เสียหาย
กดเงินสดเต็มวงเงิน นำไปใช้หนี้นอกระบบและเล่นหวยออนไลน์
เมื่อธนาคารอนุมัติบัตรเงินสดตามเอกสารที่ส่งมา บัตรจะถูกส่งกลับมายังที่อยู่ตามทะเบียน ซึ่งในหลายกรณีคือเทศบาลเอง ซึ่งเป็นที่ทำงานของผู้ต้องหา จากนั้นพวกเขาก็จะ นำบัตรไปกดเงินสดออกจนเต็มวงเงิน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 50,000 บาทต่อราย
เบื้องต้นพบว่ามีการกดเงินสดออกมาแล้วรวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท และมีการใช้เงินบางส่วนในการ ชำระหนี้นอกระบบ รวมถึงเล่นพนันหวยออนไลน์ อีกด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ธนาคารตรวจพบความผิดปกติ กลุ่มผู้ต้องหาจะชำระหนี้ขั้นต่ำรายเดือนอย่างต่อเนื่องให้ดูเหมือนว่าผู้กู้ยังคงชำระหนี้ตามปกติ
การกระทำผิดถูกเปิดเผยหลังจาก ธนาคารเกียรตินาคินภัทร และธนาคารกสิกรไทย ตรวจพบความผิดปกติว่า มีลูกค้าจำนวนมากที่อ้างว่าทำงานอยู่ในเทศบาลเมืองพิจิตรยื่นขอบัตรสินเชื่อในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน และเมื่อมีการสอบถามไปยังเจ้าของชื่อจริง กลับพบว่าไม่ได้ยื่นสมัครแต่อย่างใด
เมื่อพบพิรุธ ธนาคารจึงประสานข้อมูลกับกองบังคับการปราบปราม จนนำไปสู่การตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาทั้งสามคน พร้อมของกลางจำนวนมาก ได้แก่
ใบแจ้งหนี้ 507 ฉบับ
บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดของบุคคลอื่น 116 ใบ
สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน 35 ชุด
คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการจัดทำเอกสารปลอมอีก 2 เครื่อง
คำรับสารภาพ และการปฏิเสธ
จากการสอบสวน น.ส.บุรีย์ ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ร่วมวางแผนการทั้งหมด และมีจุดประสงค์หลักเพื่อนำเงินไปใช้หนี้นอกระบบ และเล่นหวยออนไลน์ ซึ่งสร้างหนี้สินอย่างหนักจนไม่สามารถชำระได้ ส่วนผู้ร่วมกระทำความผิดอีก 2 ราย ได้แก่ น.ส.จุฬาพร และ น.ส.อมรรัตน์ ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้นำตัวทั้งหมดดำเนินคดีตามกฎหมาย
นายณภัทร เทอดไทย ตัวแทนธนาคารเกียรตินาคินภัทร ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน หรือทะเบียนบ้าน ไม่ควรมอบให้บุคคลอื่นไปใช้โดยเด็ดขาด หากจำเป็นต้องมอบเอกสาร ก็ควรทำสำเนาและระบุข้อความบนเอกสารว่าใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด พร้อมทั้งเซ็นชื่อกำกับ
ทั้งนี้ หากประชาชนตรวจพบว่ามีการนำชื่อของตนเองไปใช้สมัครบัตรเครดิตหรือขอสินเชื่อโดยไม่ได้อนุญาต ควรรีบติดต่อธนาคารและแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที เพื่อให้ดำเนินการยกเลิกเอกสารกู้เงินที่ถูกปลอมแปลง และป้องกันไม่ให้ถูกเรียกเก็บเงินภายหลัง
คดีนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนถึงการหละหลวมของระบบราชการในระดับท้องถิ่น และความอันตรายจากการให้ข้อมูลส่วนตัวกับผู้อื่นอย่างไม่ระมัดระวัง โดยเฉพาะในสังคมที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยยังขาดความรู้เท่าทันทางการเงินและการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว
บทเรียนจากกรณีนี้ไม่เพียงแต่เป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังหน่วยงานราชการให้เข้มงวดในการคัดเลือกบุคลากรเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่สังคมไทยต้องตระหนักมากขึ้นว่า "ข้อมูลส่วนตัว" คือทรัพย์สินที่มีมูลค่าในโลกยุคใหม่ และควรได้รับการปกป้องอย่างสูงสุด

















