แตกแล้ว! ค่ายคะแนเรจุดยุทธศาสตร์เมียนมา ลำกล้องปืน ค.120 พังหลังสู้เดือด
ค่ายคะแนเรแตก! จุดยุทธศาสตร์ของทหารเมียนมาไม่อาจต้านทานพลังฝ่ายต่อต้าน ดราม่าสะเทือนชายแดนไทย-เมียนมา
สถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา ร้อนระอุอย่างต่อเนื่องเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังมีรายงานยืนยันว่า "ค่ายคะแนเร" ซึ่งถือเป็นหนึ่งในค่ายทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของกองทัพเมียนมา บริเวณบ้านคะเนเร อำเภอวาเลย์ใหม่ จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ได้ถูกกองกำลังฝ่ายต่อต้านเข้ายึดครองสำเร็จในช่วงเช้าตรู่ ท่ามกลางการสู้รบที่ดุเดือดยาวนานหลายวันติดต่อกัน ท่ามกลางฝนที่โปรยปรายไม่หยุด
บทสรุปแห่งชัยชนะของ KNLA และกองกำลัง PDF
กองกำลังกะเหรี่ยงอิสระ หรือ KNLA (Karen National Liberation Army) ซึ่งจับมือร่วมรบกับ กองกำลังปกป้องประชาชน (PDF - People’s Defense Force) ได้เปิดฉากโจมตีค่ายคะแนเรอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้กองกำลังภาคพื้นดิน การใช้ปืนใหญ่ และที่สำคัญคือเทคโนโลยีทันสมัยอย่าง โดรนติดระเบิด ที่ถูกใช้ในการทิ้งระเบิดถล่มค่ายทหารเมียนมาหลายระลอก สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับฝ่ายรัฐบาลเมียนมา
แม้จะมีฝนตกหนักในพื้นที่เกือบตลอดสัปดาห์ ทว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะลดระดับความรุนแรงลง โดยเฉพาะฝ่ายเมียนมาที่พยายามตอบโต้ด้วยการยิงปืนครก (ปืน ค.120) ทั้งกลางวันและกลางคืน ส่งผลให้กระบอกปืนแตกเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ถือเป็นสัญลักษณ์ของการพ่ายแพ้ที่ชัดเจน
ค่ายคะแนเร: จุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ไม่อาจเสียได้
ค่ายคะแนเรตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทย-เมียนมา ตรงข้ามกับหมู่บ้านทหารผ่านศึก หมู่ที่ 4 ตำบลรวมไทยพัฒนา อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ห่างจากชายแดนเพียงราว 3 กิโลเมตร ถือเป็นหนึ่งในค่ายทหารหลักของเมียนมาที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและสอดแนมความเคลื่อนไหวของฝ่ายต่อต้าน รวมถึงป้องกันการรุกล้ำจากฝั่งกะเหรี่ยง
การที่ค่ายแห่งนี้ถูกยึดได้ นับเป็นการเปลี่ยนดุลแห่งอำนาจในพื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ และเป็นสัญญาณว่าฝ่ายต่อต้านกำลังมีพลังมากขึ้น ทั้งในด้านยุทธศาสตร์ การวางแผน และอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งไม่ใช่แค่การซุ่มโจมตีแบบกองโจรเช่นในอดีตอีกต่อไป
ผลกระทบต่อพลเรือน: คลื่นผู้อพยพหลั่งไหลเข้าไทย
การสู้รบที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ชาวบ้านฝั่งเมียนมาที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยต้องอพยพข้ามชายแดนเข้ามายังประเทศไทย เพื่อหลบหนีภัยสงครามและขอความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ล่าสุดมีการยืนยันว่า มีผู้หนีภัยเข้ามายังพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวในอำเภอพบพระ จังหวัดตาก รวมทั้งสิ้น 426 คน แบ่งเป็น:
1. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราววัดมอเกอร์ไทย หมู่ 1 ตำบลวาเล่ย์ อำเภอพบพระ จำนวน 370 คน
2. วัดบ้านหมื่นฤาชัย ตำบลพบพระ จำนวน 20 คน
3. คริสตจักรบ้านหมื่นฤาชัย ตำบลพบพระ จำนวน 36 คน
หน่วยงานไทยในพื้นที่ โดยเฉพาะ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 14 (ราชมนู), กองกำลังนเรศวร, ตชด.34, สภ.พบพระ รวมถึงฝ่ายปกครอง และหน่วยงานท้องถิ่น ได้ร่วมกันดูแลความปลอดภัย และให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านที่พัก อาหาร ยารักษาโรค และสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน
สงครามกลางเงา: เมียนมาแตกเป็นเสี่ยง ฝ่ายต่อต้านลุกฮือทั่วประเทศ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เพียงการปะทะชายแดนธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของ “สงครามกลางเงา” ที่กำลังปะทุขึ้นทั่วประเทศเมียนมา นับตั้งแต่กองทัพเมียนมาทำรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2021 การต่อต้านของประชาชนก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากการประท้วงสู่การจับอาวุธ ขบวนการต่างๆ เช่น PDF, KNLA, KIA, AA และกองกำลังชาติพันธุ์อื่นๆ ต่างเข้าร่วมในการต่อต้านรัฐบาลทหาร ทำให้เกิดแนวร่วมที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ
โดยเฉพาะในรัฐกะเหรี่ยง รัฐคะฉิ่น รัฐยะไข่ และรัฐฉาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีกองกำลังชาติพันธุ์เข้มแข็งอยู่เดิม การต่อสู้ของ KNLA จึงเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้รัฐบาลทหารเมียนมาต้องเจอความเสียหายต่อเนื่องทั้งกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และภาพลักษณ์ทางการเมือง
สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมและความมั่นคงในฝั่งไทย
แม้ว่าไทยจะยังคงวางจุดยืนเป็นกลางในความขัดแย้งดังกล่าว แต่การมีผู้หนีภัยข้ามแดนจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดแรงกดดันทั้งทางด้านมนุษยธรรมและด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน หน่วยงานทหารไทยต้องเพิ่มกำลังลาดตระเวนแนวชายแดน พร้อมตรวจสอบอาวุธ ยาเสพติด และบุคคลที่อาจแฝงตัวเข้ามาในคราบผู้ลี้ภัย
ในขณะเดียวกัน กลุ่มช่วยเหลือมนุษยธรรมก็ต้องเร่งเข้าไปดูแลผู้อพยพที่ขาดแคลนทรัพยากรขั้นพื้นฐาน ท่ามกลางข้อจำกัดเรื่องสถานที่รองรับ งบประมาณ และอุปกรณ์
การเมืองเมียนมาและแรงสั่นสะเทือนสู่ภูมิภาค
การที่ค่ายทหารเมียนมาต้องแตกพ่ายให้กับฝ่ายต่อต้าน ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สะท้อนว่ากองทัพเมียนมาเริ่มเสียเปรียบในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในรัฐกะเหรี่ยงที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์เชื่อมต่อกับไทยและมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่ยอมรับอำนาจรัฐบาลทหาร
หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ภายในเมียนมา และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในภูมิภาคอาเซียนโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน หรือการเคลื่อนย้ายแรงงาน
การที่ฝ่าย KNLA และ PDF สามารถเข้ายึดค่ายคะแนเรได้ ไม่ใช่เพียงชัยชนะเชิงทหารเท่านั้น แต่ยังมีนัยยะทางยุทธศาสตร์ และสะท้อนถึงความอ่อนแรงของรัฐบาลทหารเมียนมาที่ถูกกดดันทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ นี่คืออีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าความเปลี่ยนแปลงอาจใกล้เข้ามามากขึ้นทุกที
ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยเองก็ไม่อาจละเลยผลกระทบที่กำลังขยายตัวตามแนวชายแดน ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงและหน่วยงานมนุษยธรรมจึงต้องดำเนินไปควบคู่กัน เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว






















