"ฮุนเซน" ท้าถ้า "กองทัพไทย" บุกนครวัด จะจัดให้ ลั่น! พื้นที่ปะทะเป็นของเขมร
"ฮุนเซน" ท้า "กองทัพไทย" บุกนครวัด จะกำจัดให้สิ้นซาก ลั่น! พื้นที่ปะทะเป็นของเขมร เรียกว่ายังคงปากดีเหมือนเดิมสำหรับอดีตนายกฯ กัมพูชา ที่ออกมาแถลงกลางที่ประชุมวุฒิสภา ขอร้องให้ประชาชนอยู่ในความสงบและเชื่อมั่นในการเจรจา แถมยังบอกด้วยว่าพื้นที่เกิดเหตุนั้นเป็นของกัมพูชา อีกทั้งยังท้ากองทัพไทยให้มาบุกนครวัดจะได้รีบไปฟ้องยูเอ็นว่าโดนไทยรุกราน ลั่น! ถ้ามาถึงที่จริงๆ ก็จะจัดให้อย่างสาสมและทำลายกองทัพไทยให้ราบคาบ คุยโวด้วยว่าเครื่องบินรบของไทยสู้เครื่องยิงประสิทธิภาพสูงของเขมรไม่ได้เลย ทั้งนี้ก็ได้เรียกร้องให้ประชาชนออกมาสนับสนุนกองทัพ เพื่อแสดงความสามัคคีในการป้องกันประเทศ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 พ.ค.68 ที่ผ่านมา ทางเพจเฟซบุ๊ก “Samdech Hun Sen of Cambodia” ของ จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ซึ่งเป็นประธานวุฒิสภากัมพูชา และเป็นบิดาของ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้มีการโพสต์ข้อความเป็นสารพิเศษที่สมเด็จฮุนเซน กล่าวในการประชุมวุฒิสภากัมพูชา โดยระบุใจความว่า
ต่อไปนี้ก็คือ ถ้อยแถลงของสมเด็จฮุนเซนในคำแถลงพิเศษเกี่ยวกับการปะทะ ด้วยอาวุธระหว่างกองทัพกัมพูชาและไทยที่ชายแดนบริเวณมอมเตย จังหวัดพระวิหาร
ทางสมเด็จฮุนเซนขอให้เพื่อนร่วมชาติทั้งหลายอยู่ในความสงบ และไว้วางใจในความเป็นผู้นำของรัฐบาลและกองทัพกัมพูชาในการแก้ไขปัญหา ผ่านการเจรจาแทนที่จะใช้กำลังทางทหาร ทั้งนี้ทางนายกรัฐมนตรีก็ขอร้องให้ประชาชนทุกคนอยู่ในความสงบในประเด็นพิพาทชายแดนระหว่างกัมพูชากับไทย และให้เชื่อมั่นในการแก้ปัญหาระหว่างรัฐบาลทั้งสอง ระวังข่าวปลอมที่ผลักดันให้เกิดสงครามระหว่างสองประเทศ
สมเด็จฮุนเซนกล่าวต่ออีกว่า อาวุธและกำลังพลที่ส่งไปยังชายแดน ไม่ได้มีไว้โจมตีประเทศไทยหรือก่อสงคราม แต่มีเพื่อการเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์เลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับเหตุการณ์ยิงปืนที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย นั้นไม่ใช่นโยบายของรัฐบาลไทยและกระทรวงกลาโหมของไทย สมเด็จฮุนเซนกล่าวสรุปว่า เหตุการณ์ทั้งหมดนี้อาจเกิดขึ้นจากบุคคลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง
สำหรับเหตุการณ์ที่ชายแดนกัมพูชา-ไทยเมื่อวานนี้ มันแตกต่างจากการรุกรานวัดแก้วสิขาคีรีสวารา (บริเวณปราสาทพระวิหาร) ในปี 2551 ที่ผ่านมา โดยสมเด็จฮุนเซนเล่าว่าในสงครามที่ปราสาทพระวิหาร และปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตากระเป่ยระหว่างปี 2551 ถึง 2554 นั้น ทางกัมพูชาได้ใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างที่สุดแล้ว จนทางกองทัพเกิดความสับสน โดยในช่วงสงครามครั้งนั้น ทางสมเด็จฯ ตั้งกองบัญชาการอยู่ที่บ้าน และสั่งการผ่านทางระบบวิดีโอคอล สมเด็จฯ เล่าว่า ในเวลานั้น ด้าน นายพลเจีย ดารา และชิน จันปุร์ ได้ขอให้ทางสมเด็จฯ อนุญาตให้ใช้ปืนใหญ่ เพื่อยิงเข้ามาในประเทศไทย 40 กิโลเมตร แต่สมเด็จฯ ไม่ให้ใช้
สมเด็จฮุนเซนกล่าวว่า กองกำลังและอาวุธที่ส่งไปยังชายแดน ไม่ได้มีไว้เพื่อโจมตีประเทศไทย แต่ใช้ในกรณีที่มีการรุกรานเท่านั้น ทางกัมพูชาจะใช้สิทธิในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของชาติ แม้ว่าสมเด็จฯ มหาบพิตรฮุน มาเนต จะไปเยือนต่างประเทศ แต่เขาก็ยังทำงานเกี่ยวกับปัญหาชายแดนและรู้จักภูมิศาสตร์เป็นอย่างดี
สถานที่ที่เกิดเหตุมีการยิงกันนั้น ก็คือสถานที่ที่สมเด็จฯ ฮุนเซนเคยไปเยือนเมื่อปี 2552 ทำไมประเทศไทยจึงบอกว่าเป็นดินแดนของพวกเขา สมเด็จฮุนเซนบอกว่าเขาไม่ใช่ผู้นำที่นั่งอยู่แต่ในสำนักงานเท่านั้น แต่มักจะลงพื้นที่และลงไปในสนามรบ ทางกัมพูชาต้องการให้สถานการณ์ชายแดนกลับคืนสู่สภาพเดิม และขอให้เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณสามเหลี่ยมมรกตเท่านั้น ไม่ให้เกิดการกระจายข้ามชายแดน และกระทบต่อความร่วมมือในภาคส่วนอื่นๆ
สมเด็จเดโชได้ต้อนรับบริษัทชิปมอง ที่ประกาศว่าจะนำน้ำ เครื่องดื่ม และอาหารไปให้กองทัพ สมเด็จเดโชฮุนเซนบอกกับคนไทยว่าไม่ใช่ทหาร และหากกองทัพไทยต้องการบุกนครวัดตามที่นายสิต (สนธิ) ลิ้มทองกุล เคยกล่าวไว้ สมเด็จเดโชจะอนุญาตให้เข้ามาเพื่อแสดงต่อสหประชาชาติว่า นี่คือการรุกราน และสมเด็จเดโชจะใช้กองทัพกัมพูชามาทำลายกองทัพไทย
ทั้งนี้สมเด็จฯ ได้เคยกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับกลยุทธ์การสงครามว่า เครื่องบินอเมริกันยิงใส่สมเด็จแต่ทำอะไรไม่ได้ และในสงครามเช่นนี้ สมเด็จไม่ได้ใช้เครื่องบิน แต่สมเด็จมีตาข่ายฟ้าซึ่งเป็นปืนยิงเครื่องบินตก ขณะนี้กัมพูชามีปืนป้องกันภัยทางอากาศที่ดี ทางสมเด็จฮุนเซนจึงเรียกร้องให้ประชาชนทั้งหลายคอยสนับสนุนกองทัพ เพื่อแสดงความสามัคคี และเป็นกระดูกสันหลังของการป้องกันประเทศ ทาง กัมพูชาต้องการให้พรมแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมดเป็นพรมแดนของสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือและการพัฒนา
อย่างไรก็ตาม ทางสมเด็จฮุนเซนยังได้ยกย่องทหารในแนวหน้าทุกนาย และเรียกร้องให้กาชาดในจังหวัดพระวิหารมาช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่ชายแดนด้วย













