จับ 3 พ่อแม่ลูกคาหอพัก! ผัวอดีตตร.โต้ไม่หยุด แต่สุดท้ายยอม
จับแล้ว! เจ้าของหอพักฉาว "หึ หึ" ยกครัว 3 คน พ่อแม่ลูก ถูกดำเนินคดีกรรโชกทรัพย์ ปมลูกบ้านแฉถูกทำร้าย-ยึดของไม่ยอมคืน
จากคดีสุดอื้อฉาวที่สร้างแรงสะเทือนในวงการหอพักนักศึกษา เมื่อกลุ่มนักศึกษากว่า 20 ราย รวมตัวกันเข้าแจ้งความเอาผิดเจ้าของหอพักชื่อดังในพื้นที่ ตำบลหลักหก อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ภายใต้ชื่อ "หอพักที ที" หลังถูกกระทำรุนแรง ทั้งทางร่างกายและสิทธิในทรัพย์สินส่วนตัว
โดยคดีนี้เริ่มต้นจากความกล้าหาญของนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันเข้าแจ้งความต่อ สถานีตำรวจภูธรปากคลองรังสิต และยังได้ยื่นเรื่องต่อ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อขอความเป็นธรรม หลังพวกเขาถูกเจ้าของหอพักทำร้ายร่างกาย ยึดบัตรประชาชน บัตรนักศึกษา รวมถึงสิ่งของมีค่าและทรัพย์สินอื่น ๆ โดยไม่มีการคืนให้เมื่อย้ายออก หรือแม้แต่ในกรณีขอคืนตามปกติ
จนกระทั่งวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ตำรวจชุดใหญ่ภายใต้การนำของ พล.ต.ต.ยุทธนา จอนขุน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ได้สนธิกำลังบุกเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ซึ่งเป็น ครอบครัวเดียวกัน ประกอบด้วย:
พ.ต.อ.พูลศักดิ์ อายุ 64 ปี (อดีตตำรวจ)
นางพัชรียา อายุ 56 ปี (ภรรยา)
น.ส.พูลชนก อายุ 28 ปี (ลูกสาว)
ทั้ง 3 คนถูกตั้งข้อหา กรรโชกทรัพย์ ตามหมายจับของศาลจังหวัดปทุมธานี โดยในวันจับกุมมีการโต้เถียงเกิดขึ้นระหว่างผู้ต้องหาซึ่งเคยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กับทีมเจ้าหน้าที่ที่เข้าแสดงหมายจับ แต่ในที่สุดก็ต้องยอมจำนนต่อพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักจนศาลอนุมัติหมายจับให้ได้
พฤติกรรมอุกอาจ เหยื่อเผยถูกข่มขู่ ทำร้าย และยึดของโดยไม่คืน
จากการสอบสวนเบื้องต้น พบว่าพฤติกรรมของครอบครัวเจ้าของหอพักดังกล่าวมีลักษณะ ข่มขู่ลูกบ้านอย่างเป็นระบบ ผู้เสียหายหลายรายให้ข้อมูลตรงกันว่า ถูกข่มขู่ว่าหากไม่ยอมทำตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นเองอย่างไม่มีเหตุผล จะไม่สามารถย้ายออกได้ หรือถูกยึดทรัพย์โดยไม่มีวันได้คืน
บางรายระบุว่าเคยถูก ทำร้ายร่างกาย ด้วยการผลัก ด่าทอ หรือขว้างปาสิ่งของใส่ นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เช่น เปิดห้องลูกค้าโดยพลการ ตรวจค้นโดยไม่มีหมาย หรือแม้แต่จับโทรศัพท์มือถือของนักศึกษาไปตรวจดูข้อความ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างร้ายแรง
อีกทั้ง ยังพบว่ามีการ ยึดเอกสารทางราชการ เช่น บัตรประชาชน ใบขับขี่ และบัตรนักศึกษาของผู้เช่า เมื่อเกิดกรณีขอย้ายออก โดยอ้างว่าต้องรอตรวจสอบห้องให้เรียบร้อยก่อนจะคืน ทั้งที่ผู้เช่าหลายรายไม่เคยมีพฤติกรรมทำลายข้าวของใด ๆ
ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ – ศาลอนุมัติหมายจับเพียง 1 ข้อหา แต่คดีอื่นรอสอบต่อ
แม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะขอศาลออกหมายจับใน 3 ข้อหา ได้แก่
1. กรรโชกทรัพย์
2. หน่วงเหนี่ยวกักขัง
3. ละเมิดสิทธิในเคหสถาน
แต่ศาลพิจารณาอนุมัติเพียงข้อหาเดียว คือ “กรรโชกทรัพย์” ตามพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอในขณะนี้
พล.ต.ต.ยุทธนา ระบุว่า จากการสอบสวน มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้วอย่างน้อย 10 คดี โดยใน 2 คดีได้มีการเรียกสอบปากคำไปแล้ว อีก 2 คดีได้ดำเนินการจับกุมตามหมายเรียบร้อย และอีก 6 คดีกำลังรอผู้เสียหายเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม
"แม้ผู้ต้องหาจะให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่เมื่อศาลอนุมัติหมายจับมาอย่างชัดเจน ก็ต้องดำเนินคดีไปตามกระบวนการ ไม่มีการยกเว้น แม้หนึ่งในผู้ต้องหาจะเป็นอดีตข้าราชการตำรวจ" พล.ต.ต.ยุทธนากล่าว
ประกันตัวหรือไม่? อยู่ที่ศาลชี้ขาด
ในกรณีของการประกันตัว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างดำเนินการส่งตัวผู้ต้องหาไปยังศาลเพื่อพิจารณาการประกันตัวตามขั้นตอนทางกฎหมาย โดยยังไม่มีการเปิดเผยว่า ศาลจะอนุญาตให้ประกันตัวในวงเงินเท่าใด หรือจะคัดค้านการประกันตัวด้วยเหตุผลใด
ด้านชาวเน็ตจำนวนมากแสดงความคิดเห็นในโลกโซเชียลว่า พฤติกรรมของเจ้าของหอพักครอบครัวนี้ ไม่สมควรได้รับการประกันตัว เพราะถือว่ากระทำผิดโดยตั้งใจ เป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคที่ไม่มีทางสู้ และยังเป็นผู้ที่ควรจะรู้กฎหมายดีจากอดีตอาชีพข้าราชการตำรวจ
เสียงสะท้อนจากเหยื่อ – ขอความเป็นธรรม อยากให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
นักศึกษาหญิงรายหนึ่งให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่า เธอเคยถูกยึดบัตรประชาชนและโทรศัพท์มือถือ โดยไม่มีการคืนคืน ทั้งที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัว และยังถูกกล่าวหาว่าเธอทำห้องพักเสียหายทั้งที่ไม่เป็นความจริง
“หนูแค่อยากได้ของคืน อยากออกจากหอพักนั้นแบบสงบ แต่เขากลับไม่ให้ย้าย และยึดของไว้หมด ตอนนั้นกลัวมาก ไม่กล้าแจ้งความเพราะเขาบอกว่าเป็นตำรวจ ถ้าแจ้งจะมีปัญหา”
อีกหลายรายก็มีประสบการณ์คล้ายกัน บางคนบอกว่าแม้ย้ายออกไปแล้ว ก็ยังถูกเจ้าของหอพักตามข่มขู่ผ่านโทรศัพท์และไลน์ และเมื่อมีข่าวว่าจะรวมตัวแจ้งความ ก็มีคนจากหอพักพยายามโทรมาข่มขู่ว่า "ให้เลิกยุ่ง ถ้าไม่อยากเดือดร้อน"
ข้อคิดสำคัญสิทธิของผู้บริโภคในฐานะผู้เช่าหอพัก
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึง ความจำเป็นของการรู้เท่าทันสิทธิของผู้บริโภค โดยเฉพาะในฐานะผู้เช่าหอพักหรือคอนโดมิเนียม ซึ่งหลายคนยังไม่รู้ว่า:
เจ้าของหอพัก ไม่มีสิทธิ์ยึดทรัพย์สินของผู้เช่า
การเปิดห้องโดยพลการถือว่า ผิดกฎหมาย
การทำร้ายร่างกายแม้เพียงเล็กน้อยก็ถือว่า มีความผิด
หากมีการข่มขู่หรือกรรโชกทรัพย์ ต้อง แจ้งความทันที
นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ยังมีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนกรณีเจ้าของหอพักกระทำผิดสัญญา หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
คดีของครอบครัวเจ้าของหอพัก "หึ หึ" ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาสำคัญที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของหอพักที่ขาดการกำกับดูแลอย่างจริงจัง และเผยให้เห็นถึงความเปราะบางของนักศึกษาและผู้เช่าที่ไม่มีเสียงในสังคม
การดำเนินคดีอย่างจริงจังในกรณีนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการเอาผิดผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณให้เจ้าของหอพักอื่น ๆ เห็นว่า "ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย"


















