หมอเปิดใจ! ทำไมคนไข้รอคิวตั้งแต่ตีห้า แต่เจอหมอไม่ถึง 5 นาที?
เปิดคำตอบจากวงในการแพทย์ ทำไม “โรงพยาบาลรัฐ” คนไข้แน่น รอนาน แต่หมอตรวจแค่ 5 นาที – เบื้องหลังที่หลายคนไม่เคยรู้
หากพูดถึง “โรงพยาบาลของรัฐ” ภาพที่ปรากฏในหัวของคนส่วนใหญ่มักจะเป็นภาพของผู้ป่วยจำนวนมากที่ต้องมารอคิวกันตั้งแต่เช้าตรู่ บางรายมาตั้งแต่ตีห้าเพื่อให้ได้บัตรคิวลำดับต้น ๆ รอคอยด้วยความหวังว่าจะได้พบหมอโดยเร็ว แต่ความจริงที่เกิดขึ้นกลับตรงข้าม คนไข้ต้องรอนานหลายชั่วโมง แต่เมื่อตรวจจริง หมอกลับใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ทำให้เกิดคำถามมากมายตามมา ทั้งเรื่องระบบบริหารจัดการ บุคลากรที่มีเพียงพอหรือไม่ หรือหมอทำงานเต็มที่แล้วจริงหรือ?
คำถามเหล่านี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงบนโลกออนไลน์มานาน และล่าสุดก็มีคำตอบจากบุคลากรในระบบสาธารณสุขที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลเบื้องหลัง เพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนี้”
เสียงจากด่านหน้า: บุคลากรทางการแพทย์เผยเบื้องหลังที่ประชาชนมองไม่เห็น
ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Saranya Pongudom ซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลของรัฐ ได้โพสต์ข้อความที่สร้างแรงกระเพื่อมและถูกแชร์ออกไปมากกว่า 5,700 ครั้ง โดยเนื้อหาในโพสต์นั้น อธิบายอย่างตรงไปตรงมาถึงระบบภายใน การทำงานจริงของเจ้าหน้าที่ และความยากลำบากที่ซ่อนอยู่ภายใต้ภาพที่ประชาชนส่วนใหญ่มองเห็น
8 ข้อเท็จจริงที่ควรรู้ก่อนมารับบริการในโรงพยาบาลของรัฐ
1. โรงพยาบาลรัฐไม่เหมือนโรงพยาบาลเอกชน
โรงพยาบาลรัฐมีข้อจำกัดทั้งด้านงบประมาณและจำนวนบุคลากร ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความรวดเร็วในการให้บริการ ต่างจากโรงพยาบาลเอกชนที่สามารถจัดสรรทรัพยากรได้คล่องตัวกว่า
2. หากต้องการบริการที่รวดเร็ว ควรเลือกโรงพยาบาลเอกชน
ความสะดวกสบายและความรวดเร็วย่อมแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า แต่หากเลือกมาใช้บริการของรัฐ ก็ควรเข้าใจว่าระบบจะดำเนินไปช้ากว่าตามข้อจำกัดที่กล่าวมา
3. ทำใจกับความล่าช้าและระบบขั้นตอนที่มากมาย
การดำเนินงานในโรงพยาบาลรัฐมีขั้นตอนหลายอย่าง ทั้งรับบัตรคิว ตรวจวัดเบื้องต้น ส่งห้องแล็บ ฯลฯ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ใช้เวลามาก และอาจไม่เป็นไปตามที่ผู้ป่วยคาดหวัง
4. เจ้าหน้าที่ก็เป็นมนุษย์ที่ต้องพักผ่อน
แม้ในภาวะฉุกเฉินทุกคนพร้อมทำงานเต็มที่แม้จะยังไม่ได้กินข้าวหรือพัก แต่ในกรณีทั่วไป การได้พักตามเวลาถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาคุณภาพงานและสุขภาพจิตของบุคลากร
5. ภาระงานของเจ้าหน้าที่มีมากเกินกว่าที่คนไข้เห็น
นอกจากจำนวนคนไข้ที่ต้องรับผิดชอบต่อวันแล้ว อุปกรณ์ที่ใช้ก็ไม่ทันสมัยหรือเพียบพร้อม ความเร็วของระบบคอมพิวเตอร์ ห้องแล็บที่หน่วง และแรงกดดันจากนโยบายภาครัฐ ล้วนเป็นสิ่งที่บุคลากรต้องรับมือ
6. การใช้อารมณ์และคำพูดกดดันไม่ได้ช่วยอะไร
คำพูดอย่าง “ถ้าไม่ไหวก็ลาออก” หรือ “ก็เงินภาษีประชาชน” ส่งผลต่อขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่มากกว่าที่คิด หากบุคลากรทางการแพทย์ลาออกจริง ผลเสียจะตกอยู่กับประชาชนมากกว่าใคร
7. บุคลากรก็เสียภาษีเช่นกัน และยังทำงานหนักทุกวัน
หลายคนลืมไปว่าเจ้าหน้าที่ก็เป็นพลเมืองที่เสียภาษีเช่นกัน แถมยังมีภาระงานที่หนักหนาในแต่ละวัน ต่างจากผู้ป่วยที่อาจมาโรงพยาบาลแค่ปีละไม่กี่ครั้ง
8. หมอไม่ได้ทำแค่งานตรวจคนไข้นอก
แพทย์จำนวนมากมีภาระหลายหน้าที่ ทั้งดูแลผู้ป่วยใน เข้าประชุม สอนหนังสือ หรือแม้แต่ผ่าตัด ดังนั้นจึงอาจล่าช้าในการออกตรวจผู้ป่วยนอก ซึ่งควรเข้าใจและไม่เหมารวมว่า “หมอมาสาย” หรือ “ไม่ตั้งใจทำงาน”
เสียงสะท้อนจากประชาชน: เข้าใจมากขึ้น เห็นใจเจ้าหน้าที่มากขึ้น
หลังจากโพสต์นี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยและให้กำลังใจบุคลากรด่านหน้า เช่น
“พูดแทนบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่มีทักษะการสื่อสารได้ดีมากครับ”
“อยากทำเป็นป้ายไวนิลติดไว้หน้าห้องตรวจทุกห้องเลยค่ะ”
“นี่ขนาดตรวจ 5 นาทียังบ่น ถ้าตรวจคนละครึ่งชั่วโมงคงได้ตรวจพรุ่งนี้นะคะ”
“บางคนชอบมาห้องฉุกเฉินทั้งที่ไม่ฉุกเฉิน แล้วไม่พอใจที่ต้องรอ”
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการสร้างความเข้าใจระหว่างประชาชนกับบุคลากรทางการแพทย์เป็นสิ่งสำคัญ หากทุกฝ่ายเปิดใจและมองในมุมของกันและกันมากขึ้น จะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งและทำให้บรรยากาศการรักษาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ความเข้าใจคือสิ่งที่ช่วยให้ระบบเดินหน้า
แม้โรงพยาบาลของรัฐจะมีปัญหาเชิงโครงสร้างหลายด้าน แต่เจ้าหน้าที่ด่านหน้าทุกคนก็พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดที่มี การเข้าใจระบบ การไม่ใช้อารมณ์ในการเรียกร้อง และการให้เกียรติบุคลากรที่เหนื่อยล้า เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การรักษาพยาบาลในประเทศไทยเป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีคุณภาพมากขึ้น
ในวันที่ผู้ป่วยจำนวนมากยังต้องพึ่งพาระบบของรัฐ การเข้าใจเบื้องหลังการทำงานของบุคลากรถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ระบบเดินหน้าไปด้วยความเห็นใจและเคารพซึ่งกันและกัน
หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่เคยรู้สึกไม่พอใจกับความล่าช้าในโรงพยาบาลรัฐ ลองอ่านมุมมองของเจ้าหน้าที่เหล่านี้ แล้วอาจพบคำตอบที่คุณตามหา และเปลี่ยนความไม่เข้าใจเป็นความเห็นใจในที่สุด
อ้างอิงจาก: เฟซบุ๊กSaranya Pongudom


















