10,028 ล้าน! ยิ่งลักษณ์มีเงินพอจ่ายหรือไม่? ส่องบัญชี-อสังหาฯ
ย้อนรอยคดีจำนำข้าว “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ถูกสั่งชดใช้หมื่นล้าน – โอกาสต่อสู้ใหม่ยังมีหรือไม่?
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งสำคัญที่กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคมไทยอีกครั้ง เมื่อมีคำสั่งให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 10,028 ล้านบาท จากโครงการรับจำนำข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งศาลวินิจฉัยว่ามีความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจนทำให้รัฐได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง
คำสั่งนี้นับเป็นอีกหนึ่งบทในมหากาพย์ “โครงการจำนำข้าว” ที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านนโยบาย เศรษฐกิจ และการเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารประเทศ ซึ่งการชดใช้มูลค่าหมื่นล้านบาทครั้งนี้ย่อมส่งผลกระทบไม่เฉพาะต่ออดีตผู้นำหญิงเท่านั้น แต่ยังโยงใยไปถึงมิติทางการเมืองและความยุติธรรมในสังคมไทยที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน
คำแถลงของยิ่งลักษณ์: “ดิฉันไม่ใช่จำเลยในคดีนี้”
ภายหลังคำสั่งของศาลออกมา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันที โดยระบุว่า “ดิฉันไม่ได้เป็นจำเลยในคดีนี้” พร้อมยืนยันว่าตนไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณาคดีอย่างเป็นทางการ จึงเห็นว่าไม่ควรถูกบังคับให้ชดใช้ค่าเสียหายจากโครงการที่มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย
ยิ่งลักษณ์ยังกล่าวอีกว่า ในอดีตศาลปกครองกลางเคยวินิจฉัยแล้วว่าเธอไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบในการชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว ซึ่งการกลับคำวินิจฉัยในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่เธอ “ไม่อาจยอมรับได้” และอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรมไทยในเวทีโลก
ภาระชดใช้มหาศาล vs ทรัพย์สินในครอบครอง
จากข้อมูลการแสดงบัญชีทรัพย์สินที่ยิ่งลักษณ์เคยยื่นไว้ต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อปี 2558 พบว่าเธอมีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้นประมาณ 610,843,436 บาท ซึ่งแม้จะเป็นจำนวนที่สูง แต่เมื่อเทียบกับภาระที่ศาลสั่งให้ชดใช้กว่า 10,028 ล้านบาท นับว่ายังห่างไกลเกินเอื้อม
รายละเอียดทรัพย์สินที่สำคัญ ได้แก่:
เงินสด: 14.29 ล้านบาท
เงินฝาก: 16 บัญชี รวม 24.9 ล้านบาท
เงินลงทุนและกองทุนรวม: 115.5 ล้านบาท
เงินให้กู้ยืม: 108.3 ล้านบาท
ที่ดิน 14 แปลง: มูลค่ากว่า 117 ล้านบาท (ในเชียงใหม่, เชียงราย, กทม., สมุทรปราการ)
โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 36 รายการ: มูลค่ากว่า 162 ล้านบาท
รถยนต์ 9 คัน: ยี่ห้อหรูรวมมูลค่า 21.9 ล้านบาท
เครื่องประดับและของมีค่า: กว่า 45 ล้านบาท (อัญมณี, นาฬิกา, กระเป๋าแบรนด์เนม)
กรมธรรม์ประกันชีวิต: มูลค่า 596,189 บาท
หากยึดตามรายการทรัพย์สินทั้งหมด จะเห็นได้ชัดว่าไม่มีทางครอบคลุมภาระชดใช้หมื่นล้านบาทได้เลยแม้แต่น้อย
เพื่อไทยเปิดเกมสู้ใหม่: มีพยานหลักฐานใหม่
แม้จะมีคำสั่งจากศาลปกครองสูงสุดออกมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ยังไม่จบลงง่าย ๆ เพราะในวันที่ 25 พฤษภาคม 2568 นายดนุพร ปุณณกันต์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาแถลงจุดยืนของพรรคว่า ยอมรับคำตัดสินของศาล แต่ยังมีแนวทางทางกฎหมายที่อาจทำให้ยิ่งลักษณ์หลุดพ้นจากภาระการชดใช้ได้
โดยอ้างถึง มาตรา 75 ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง ซึ่งเปิดช่องให้มีการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ หากมี พยานหลักฐานใหม่ ที่ไม่เคยปรากฏในการพิจารณาคดีมาก่อน
หลักฐานใหม่ที่พรรคเพื่อไทยอ้างถึงคือ การขายข้าวจำนวน 18.9 ล้านตันในเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นว่าโครงการจำนำข้าวยังสามารถสร้างรายได้กลับคืนให้แก่รัฐ และไม่ใช่ความเสียหายถาวรอย่างที่เข้าใจกันก่อนหน้านี้
ข้อถกเถียงทางกฎหมาย: รายได้ย้อนหลังถือเป็นหลักฐานใหม่หรือไม่?
ทว่าประเด็นนี้ก็ไม่พ้นการวิพากษ์วิจารณ์ โดยบางฝ่ายชี้ว่า “การนำผลลัพธ์จากการขายข้าวในอนาคตกลับมาอ้างในคดีเดิม อาจไม่ถือเป็นหลักฐานใหม่” เพราะเท่ากับเป็นการมองย้อนกลับไปแทนที่จะเป็นข้อเท็จจริง ณ เวลาที่เกิดเหตุการณ์
นายดนุพรยืนยันว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับ ดุลยพินิจของศาล และพรรคเพื่อไทยขอใช้ “สิทธิ” ที่กฎหมายเปิดช่องไว้เพื่อยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการภายใน 90 วัน ตามขั้นตอน
บริบทการเมือง-กฎหมาย: รัฐประหาร 2557 และมาตรา 44
คดีนี้ยังเกี่ยวข้องกับ บริบททางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงหลังการรัฐประหารปี 2557 ที่นำโดย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งใช้อำนาจมาตรา 44 ในการเร่งรัดกระบวนการตรวจสอบนโยบายรัฐบาลชุดก่อน โดยเฉพาะกรณีโครงการรับจำนำข้าวที่กลายเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองในเวลานั้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์บางรายมองว่า การดำเนินคดีในยุค คสช. นั้น ไม่สามารถแยกออกจากเจตนาทางการเมือง ได้โดยสิ้นเชิง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่หลายฝ่ายตั้งคำถามกับกระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว
เส้นทางยิ่งลักษณ์ในวันที่ยังไม่ปิดฉาก
แม้คำสั่งชดใช้หมื่นล้านจะถูกสั่งโดยศาลปกครองสูงสุด ซึ่งถือเป็นองค์กรยุติธรรมชั้นสูงสุดในระบบศาลปกครองของไทย แต่ประเด็นนี้ก็ยังไม่จบลงโดยสมบูรณ์ เพราะยังมีช่องทางตามกฎหมายให้สามารถยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อพิจารณาคดีใหม่ได้ หากหลักฐานใหม่ได้รับการรับรองว่า “เพียงพอและสมเหตุสมผล”
สำหรับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แล้ว นี่อาจเป็นอีกหนึ่งบททดสอบในชีวิตทางการเมืองที่หนักหนาที่สุด ไม่เพียงแต่เธอต้องเผชิญหน้ากับภาระทางการเงินระดับมหาศาล แต่ยังต้องต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองในกระบวนการที่หลายฝ่ายยังมีข้อกังขา
สุดท้ายนี้ คำถามที่ยังไม่มีคำตอบคือ — ศาลจะเปิดโอกาสให้พิจารณาคดีใหม่หรือไม่? และถ้าเปิด ยิ่งลักษณ์จะสามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าโครงการที่เคยถูกมองว่าเป็นความเสียหายระดับชาติ จริง ๆ แล้วอาจยังมีคุณค่าทางเศรษฐกิจแฝงอยู่ภายใต้ฝุ่นควันทางการเมือง
โปรดติดตามความเคลื่อนไหวคดีนี้อย่างใกล้ชิด เพราะอาจเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาใหญ่ของสังคมไทยในการทบทวนความสัมพันธ์ระหว่าง “กฎหมาย” กับ “การเมือง” ที่ยังคงซับซ้อนและท้าทายอย่างยิ่งในระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ













