พายุการเมืองใกล้ปะทุ! จับตารัฐบาลสะเทือน “ภท.” ส่อโดนเด้งพ้นเกมอำนาจ
รัฐบาลอุ๊งอิ๊งเผชิญมรสุมหนัก เสี่ยงแตกหักก่อน 13 มิ.ย. – ส่อแววยุบสภา เชือดพรรคร่วม-จับตาคดีเพื่อไทยและทักษิณ
สถานการณ์การเมืองไทยในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 กำลังอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่า "อุณหภูมิสูงทะลุจุดเดือด" เมื่อกระแสข่าวลือหนาหูถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรัฐบาล โดยเฉพาะกรณี "เขี่ยทิ้งพรรคภูมิใจไทย" ออกจากพรรคร่วมรัฐบาลก่อนวันที่ 13 มิถุนายน อันเป็นวันที่มีนัดหมายสำคัญที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะพิจารณากรณีนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอาจนำไปสู่การ "แตกหัก" ทางการเมืองครั้งใหม่ และการยุบสภาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เสถียรภาพที่สั่นคลอน - ภูมิใจไทยอาจถูกเขี่ยพ้น ครม.
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ได้ออกมาเปิดเผยผ่านไลฟ์เฟซบุ๊กในรายการ "ประเทศไทยต้องมาก่อน" ว่า ภาวะรัฐบาลข้ามขั้วที่มีนางแพทองธาร ชินวัตร หรือ "อุ๊งอิ๊ง" เป็นนายกรัฐมนตรี กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการควบคุมพรรคร่วมรัฐบาลที่ดูจะมีความขัดแย้งกันภายในอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกับพรรคภูมิใจไทย ที่ขณะนี้มีข่าวลืออย่างต่อเนื่องว่าจะถูกปรับออกจากรัฐบาลในไม่ช้า
การเขี่ยภูมิใจไทยออก แม้จะทำให้เสียงในสภาอ่อนแอลง แต่ในมุมของนักวิเคราะห์ทางการเมือง ถือเป็นความพยายาม “ตัดเนื้อร้าย” เพื่อสงวนพลังและเตรียมรับมือสิ่งที่อาจตามมาในทางการเมืองหลังจากวันที่ 13 มิถุนายนนี้
ยุบสภาคือทางออก? เมื่อขั้วรัฐบาลไปต่อไม่ไหว
ความไม่มั่นคงภายในรัฐบาลไม่ใช่เพียงแค่เรื่องพรรคร่วมเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันกับศึกใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววัน นายจตุพรได้ระบุว่า หากหลังวันที่ 13 มิ.ย. เห็นชัดว่ารัฐบาลไปต่อไม่รอด ก็อาจมีการตัดสินใจยุบสภา ซึ่งจะนำประเทศเข้าสู่การเลือกตั้งใหม่โดยหลีกเลี่ยงแรงเสียดทานระยะยาวจากการบริหารงานท่ามกลางเสียงที่ไม่มั่นคงและความแตกแยกภายใน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวการประกาศสงครามกับ "พลเอก ส." ที่ไม่ระบุตัวตนชัดเจน แต่อาจหมายถึงบุคคลสำคัญทางทหารหรือนักการเมืองระดับสูง ทำให้สถานการณ์ดูเหมือนจะมุ่งหน้าเข้าสู่ภาวะแตกหักที่รอวันปะทุ
ทักษิณจะไปศาลหรือไม่? คำถามที่สะเทือนทั้งประเทศ
อีกประเด็นร้อนที่ถูกจับตามองคือ กรณีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีนัดหมายกับศาลฎีกาในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ เพื่อพิจารณาการละเมิดเงื่อนไขจำคุก โดยนายจตุพรได้ตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้นายทักษิณอาจได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ท่ามกลางข่าวลือที่หนาหูเกี่ยวกับการพยายามหลีกเลี่ยงกระบวนการยุติธรรม
แม้นายจตุพรจะยืนยันว่าตนยังอยากให้ทักษิณเดินทางไปศาล เพื่อไม่ให้เป็นการหนีซ้ำอีกครั้ง แต่ก็เชื่อว่านายทักษิณจะไม่ไปในที่สุด และนั่นอาจกลายเป็นปัจจัยกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งในเชิงภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยและเสถียรภาพรัฐบาล
คดีครอบงำพรรคเพื่อไทย และมาตรา 144 – จุดเปลี่ยนที่รอปะทุ
ประเด็นสำคัญที่อาจนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทยคือคดี "ครอบงำพรรคการเมือง" ที่อยู่ในชั้นการสอบสวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งอาจมีผลให้พรรคเพื่อไทยถูกยุบ หากพบว่าเกิดการแทรกแซงจากบุคคลภายนอกพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกี่ยวพันกับนายทักษิณ
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีปมสำคัญจากมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการใช้จ่ายงบประมาณผิดระเบียบ หรือเอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ป.ป.ช. หากพบว่าเกิดการกระทำความผิด อาจลากพรรคร่วมรัฐบาลจำนวนมากเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และอาจเป็นการ “กวาดล้าง” ทั้งระบบในคราวเดียว
แผนดูดงูเห่าไม่เป็นผล – สส. ฝ่ายค้านลังเล
สถานการณ์ล่าสุดทำให้แนวทางการดึง "งูเห่า" หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากฝ่ายค้านเข้าร่วมกับรัฐบาลไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่หวัง ความขัดแย้งภายในพรรครัฐบาล และกระแสข่าวการยุบพรรค การยุบสภา รวมถึงคดีความต่าง ๆ ทำให้ ส.ส. หลายคนเกิดความลังเล ไม่กล้าเข้าร่วม หรือเสี่ยงถูกพ่วงคดีในภายหลัง
กรณียิ่งลักษณ์ - เสียหายหนักแต่ทรัพย์ไม่พอชดใช้
อีกหนึ่งแรงกดดันทางการเมือง คือคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวจำนวนกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของมูลค่าความเสียหายจริงที่รัฐต้องแบกรับจากการระบายข้าวแบบจีทูจี
แต่ด้วยการแสดงบัญชีทรัพย์สินของน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่มีเพียงประมาณ 600 ล้านบาท ยิ่งสร้างแรงกดดันและข้อวิจารณ์ต่อขบวนการยุติธรรม และการติดตามทรัพย์ในหมู่ประชาชนและนักการเมือง
รัฐบาลแพทองธารเผชิญศึกหลายด้าน เสี่ยงล้มก่อนถึงวันพิพากษา
สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็น "บททดสอบใหญ่ที่สุด" ของรัฐบาลข้ามขั้วที่นำโดยแพทองธาร ชินวัตร กับภาวะความไม่มั่นคงจากภายในพรรคร่วม รวมถึงแรงกดดันจากคดีความต่าง ๆ ที่เกี่ยวพันกับแกนนำพรรคอย่างลึกซึ้ง
วันที่ 13 มิถุนายนนี้ อาจกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแวดวงการเมืองไทย หากสถานการณ์พัฒนาไปในทิศทางที่ไม่สามารถควบคุมได้ การยุบสภาอาจเป็นทางออกสุดท้ายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ไม่ว่าจะเป็นการตัดพรรคร่วม การยื่นคำร้องเอาผิดรัฐบาล การพิจารณาคดียุบพรรค หรือแม้กระทั่งการเดินหน้าฟ้องร้องนักการเมืองรายบุคคล—ทุกปัจจัยเหล่านี้กำลังรอระเบิดเวลา และเมื่อถึงวันนั้น ประชาชนไทยคงต้องเตรียมรับมือกับมรสุมการเมืองครั้งใหม่ที่อาจส่งผลสะเทือนทั้งประเทศ.










