คิดว่ารอด! ‘ไอ้แบงค์’ เผยทุกขั้นตอนพรางตัวหนีหมายจับ แต่สุดท้ายเจอเกมโอเวอร์
สลดกลางเกาะสมุย! ฆ่าชิงทรัพย์พยาบาลสาววัย 36 ปี สภาพศพท่อนบนเปลือย-บีบคอเสียชีวิต ตำรวจรวบตัวพนักงานบาร์ห้องข้างเคียง รับสารภาพสิ้น พยายามพรางคดีให้เหมือนข่มขืน
เมื่อค่ำวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ต้องตกอยู่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและสะเทือนใจอย่างหนัก หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุพบร่างหญิงสาวเสียชีวิตภายในห้องพักส่วนตัวในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย โดยมีสภาพศพที่บ่งชี้ชัดถึงการถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ทั้งยังมีการจัดฉากหลอกลวงในลักษณะเหมือนถูกล่วงละเมิดทางเพศ ก่อนที่ในเวลาต่อมา จะสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้สำเร็จ และพบว่าเป็นพนักงานบาร์ที่พักอยู่ห้องติดกันกับผู้เสียชีวิต
ผู้เสียชีวิตคือ นางสาวอัญชุลี วงศ์เมือง อายุ 36 ปี พยาบาลสาวซึ่งเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมงานต่างบอกว่าเธอเป็นคนจิตใจดี ร่าเริง และเป็นที่รักของทุกคน มีอาชีพมั่นคงในฐานะพยาบาลโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเกาะสมุย ซึ่งเธอเพิ่งย้ายมาเช่าห้องพักหลังดังกล่าวได้เพียงไม่กี่เดือน
สภาพศพชวนสะเทือนใจ เหมือนจัดฉากลวงให้คิดว่าเป็นการข่มขืน
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ จุดเกิดเหตุ พบว่าร่างของนางสาวอัญชุลีนอนเสียชีวิตอยู่บนเตียงภายในห้องพัก สวมเพียงกางเกงชั้นใน ท่อนบนเปลือย และมีเสื้อยืดสีขาวพาดคอ สภาพมีรอยเขียวช้ำตามลำตัวและคอ บ่งชี้ว่าถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ เสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง ข้าวของในห้องมีร่องรอยถูกรื้อค้น และรถยนต์ของผู้เสียชีวิตก็ได้หายไป
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตำรวจตั้งสมมติฐานว่า ผู้เสียชีวิตอาจถูกฆ่าชิงทรัพย์ และผู้ก่อเหตุพยายามสร้างสถานการณ์ให้ดูเหมือนว่าเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นการฆาตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดท่าศพให้ดูเหมือนเหยื่อถูกข่มขืน
เร่งสอบสวนจนกระทั่งจับผู้ต้องหาได้ภายใน 24 ชั่วโมง
เพียงหนึ่งวันหลังจากเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรวบตัว นายสุวัฒน์ หรือนายแบงค์ อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นพนักงานบาร์ในย่านบ่อผุด และพักอยู่ห้องข้าง ๆ กับผู้ตาย โดยจับกุมตัวได้บริเวณพื้นที่ใกล้ชายหาด ตำบลบ่อผุด ขณะเจ้าตัวพยายามพรางตัวและหลบหนีการจับกุมอย่างสุดความสามารถ
ในการสอบสวน นายสุวัฒน์รับสารภาพว่า เขาแอบปีนเข้าห้องของผู้ตายในช่วงกลางดึก ผ่านทางหน้าต่างด้านหลัง โดยมีเจตนาเพียงแค่ “ขโมยแหวนทองคำ” แต่ถูกผู้เสียชีวิตตื่นขึ้นมาเจอและพยายามขัดขืนจนเกิดการต่อสู้ เขาถูกกัดที่นิ้วจนเลือดออก ทำให้เกิดความโกรธและตกใจ จึงลงมือบีบคอหญิงสาวอย่างรุนแรงจนเสียชีวิต
จัดฉากศพ-ขโมยทรัพย์สิน-วางแผนหลบหนีแบบมืออาชีพ
สิ่งที่น่าตกใจคือ หลังจากทำร้ายร่างกายจนหญิงสาวเสียชีวิตแล้ว นายสุวัฒน์ยังมีสติพอจะ “จัดท่าศพ” ถอดเสื้อผู้เสียชีวิต และวางไว้บนเตียงให้ดูเหมือนว่าเป็นการข่มขืน เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นการฆ่าชิงทรัพย์ จากนั้นจึงหลบหนีกลับห้องของตนเอง เปลี่ยนเสื้อผ้า และขับรถยนต์ของผู้ตายออกจากที่พัก
เขานำแหวนทองที่ได้จากการปล้นไปขายได้เงิน 3,000 บาท ต่างหูขายไม่ได้ ส่วนโทรศัพท์มือถือและกุญแจรถก็นำไปทิ้งไว้ในศาลของโรงแรมร้างแห่งหนึ่งในตำบลแม่น้ำ โดยเขาใช้วิธีซ่อนตัวหลบหนีอย่างแนบเนียน ทั้งเดินตามแนวชายหาด ว่ายน้ำข้ามคลอง เอาทรายกลบตัว ใช้ผ้าห่มพันร่างกาย และใช้กระสอบคลุมหัว พยายามหลบสายตาของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่กว่า 10 ชั่วโมงเต็ม
ข้อกล่าวหาแรง-สารภาพตลอดข้อหา
หลังจับกุมตัวได้ เจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาหนัก 3 ข้อหา ได้แก่
1. ชิงทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน และเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
2. ฆ่าผู้อื่นเพื่อตระเตรียมการ หรือเพื่อความสะดวกในการกระทำความผิดอื่น
3. บุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย
นายสุวัฒน์ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และเจ้าหน้าที่ได้นำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพต่อหน้าสื่อมวลชนและชาวบ้าน ซึ่งต่างพากันสาปแช่งถึงความโหดเหี้ยมของการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมนี้
เสียงสะท้อนจากสังคม-ประณามการกระทำและเรียกร้องความยุติธรรม
ข่าวการเสียชีวิตของนางสาวอัญชุลีแพร่กระจายอย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดเสียงสะท้อนอย่างรุนแรงจากสาธารณชน มีการแชร์ข่าวเป็นจำนวนมาก พร้อมข้อความไว้อาลัยและเรียกร้องให้ศาลลงโทษผู้กระทำผิดอย่างสูงสุด
หลายคนตั้งคำถามถึงระบบความปลอดภัยในที่พักอาศัย โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวที่มักมีคนแปลกหน้าเข้าพักร่วมกัน บางรายถึงกับเสนอให้มีการออกมาตรการควบคุมการเช่าห้องระยะยาว-ระยะสั้นของบุคคลแปลกหน้าอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันเหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก
ขณะเดียวกัน บางความคิดเห็นแสดงความเจ็บปวดที่ผู้หญิงซึ่งตั้งใจทำงานและใช้ชีวิตอย่างปกติ ต้องมาพบจุดจบอย่างโหดเหี้ยมจากคนที่อยู่เพียงห้องติดกัน เพราะความโลภและความโหดร้ายที่ไม่น่าให้อภัย
เหตุการณ์ฆาตกรรมสะเทือนใจครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคม แต่ยังเตือนให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของ “ความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน” รวมถึงความจำเป็นในการเร่งแก้ไขปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้โศกนาฏกรรมแบบนี้ต้องเกิดขึ้นซ้ำอีกในสังคมไทย





















