ศาลอุทธรณ์พลิก! สั่งจำคุกฝรั่งเตะหมอภูเก็ต 1 เดือน ไม่รอลงอาญา
ดราม่าระอุภูเก็ต! ศาลอุทธรณ์พลิกคำตัดสิน คดีหมอปายโดนทำร้าย - สั่งจำคุกต่างชาติเจ้าของปางช้าง 1 เดือนไม่รอลงอาญา แต่จำเลยหนีหมายจับไปแล้ว!
คดีสะเทือนสังคมที่เกิดขึ้นในจังหวัดภูเก็ต เมื่อแพทย์หญิงธารดาว จันทร์ดำ หรือที่รู้จักในชื่อ "หมอปาย" ออกมาเปิดเผยเหตุการณ์ที่เธอถูกชาวต่างชาติทำร้ายร่างกายกลางวิลล่าหรูริมทะเล กลายเป็นข่าวที่ถูกจับตามองในวงกว้าง โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายจำเลยเป็นนักธุรกิจชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่มีชื่อเสียงและมีธุรกิจปางช้างในพื้นที่
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ณ วิลล่าหรูบริเวณชายหาดยามู ตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต โดยหมอปายอ้างว่าเธอถูกนายเดวิด ชาวสวิตเซอร์แลนด์ เจ้าของปางช้างภูเก็ต ใช้เท้าเตะเข้าที่บริเวณหลัง พร้อมกับตะโกนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่บริเวณบันไดหน้าวิลล่า
หลังเกิดเหตุ หมอปายได้รวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินการทางกฎหมายด้วยการยื่นฟ้องต่อศาลแขวงภูเก็ต เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมในคดีทำร้ายร่างกาย
ศาลชั้นต้นตัดสิน "ยกฟ้อง" – ให้ประโยชน์แห่งความสงสัยกับจำเลย
เมื่อคดีถูกพิจารณาในศาลแขวงภูเก็ต ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2567 โดยตัดสินยกฟ้องจำเลย ด้วยเหตุผลว่า "ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย" หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ศาลเห็นว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำผิดตามข้อกล่าวหาอย่างแน่ชัด
การตัดสินนี้สร้างความผิดหวังแก่หมอปายและผู้ที่ติดตามข่าวสาร โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนในจังหวัดภูเก็ตที่รู้สึกไม่สบายใจกับแนวโน้มของคดีที่ผู้เสียหายเป็นหญิงไทยและผู้ถูกกล่าวหาเป็นชาวต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น เนื่องจากทนายความของหมอปายคือนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยหวังให้มีการพิจารณาคดีใหม่ในเชิงลึกและเป็นธรรม
พลิกเกม! ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ จำคุก 1 เดือนไม่รอลงอาญา
และในที่สุดเมื่อไม่นานมานี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้มีคำพิพากษาที่แตกต่างจากศาลชั้นต้น โดยพิพากษากลับคำตัดสินเดิมของศาลแขวงภูเก็ต ว่าจำเลยคือ นายเดวิด ชาวสวิตเซอร์แลนด์ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
ศาลพิจารณาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ร้ายแรง สมควรได้รับโทษจำคุก 1 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ
คำตัดสินนี้เป็นการส่งสารถึงสังคมว่า ไม่ว่าผู้กระทำจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ หากมีพฤติกรรมที่ละเมิดต่อกฎหมายไทย ย่อมต้องได้รับโทษตามกฎหมายโดยเสมอภาค
ทนายหมอปายยืนยัน “ทำด้วยใจ ไม่รับค่าจ้างแม้แต่บาทเดียว”
หลังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถูกเผยแพร่ออกมา นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ทนายความของหมอปาย ได้เปิดเผยถึงเบื้องหลังการทำคดีนี้ว่า เขารับว่าความให้ในชั้นอุทธรณ์โดยไม่ขอรับค่าจ้าง ค่าวิชาชีพ หรือแม้แต่ค่าเดินทาง ค่าถ่ายเอกสาร ค่าโดยสารเครื่องบิน เพราะเข้าใจถึงความรู้สึกของหมอปาย คนภูเก็ต และประชาชนชาวไทยทุกคน
เขาย้ำว่า "เราไม่ใช่ศัตรูกัน เพียงแต่เราเห็นต่างกันทางข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเท่านั้น" และยังแสดงความยินดีกับหมอปายที่ได้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อความยุติธรรมอย่างอดทนและเด็ดเดี่ยว จนในที่สุดได้รับความเป็นธรรมจากศาลในระดับอุทธรณ์
อย่างไรก็ตาม...จำเลยหลบหนีหมายจับแล้ว!
แม้ศาลจะมีคำพิพากษาให้จำเลยได้รับโทษจำคุก 1 เดือนโดยไม่รอลงอาญา แต่สถานการณ์กลับพลิกผันอีกครั้ง เมื่อมีรายงานว่า นายเดวิด จำเลยในคดีนี้ ได้หลบหนีออกนอกประเทศและไม่มาปรากฏตัวต่อศาลเพื่อรับโทษตามคำพิพากษา ส่งผลให้มีการออกหมายจับอย่างเป็นทางการ
การหลบหนีของจำเลยทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง หลายคนตั้งคำถามถึงมาตรการควบคุมและติดตามผู้ต้องหา โดยเฉพาะในคดีที่เป็นที่สนใจของสังคม และจำเลยเป็นชาวต่างชาติซึ่งมีโอกาสหลบหนีออกนอกประเทศได้ง่ายกว่าคนไทย
สะท้อนปัญหาความเท่าเทียมในกระบวนการยุติธรรม?
คดีของหมอปายไม่เพียงแต่เป็นคดีอาญาทั่วไป แต่ยังสะท้อนปัญหาลึกในสังคมไทยเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อชาวต่างชาติในฐานะ "นักท่องเที่ยว" หรือ "นักลงทุน" ซึ่งบางครั้งอาจได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกับประชาชนไทย
การที่หมอปายต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการต่อสู้ทางกฎหมายจนถึงขั้นศาลอุทธรณ์ โดยมีทนายใจอาสาช่วยเหลือโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ง่ายของการเรียกร้องความยุติธรรมในระบบที่ซับซ้อน
สังคมควรร่วมกันตั้งคำถาม และผลักดันให้เกิดการปฏิรูป
คดีนี้ควรเป็นจุดเริ่มต้นให้สังคมไทยได้ทบทวนถึงความจำเป็นในการปฏิรูประบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติจำนวนมาก เช่น จังหวัดภูเก็ต พัทยา หรือเชียงใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่า กฎหมายไทยสามารถคุ้มครองประชาชนทุกคนได้อย่างเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพ
คดีนี้ยังไม่จบ... แต่ทิ้งบทเรียนสำคัญเอาไว้
แม้จะยังไม่สามารถนำตัวจำเลยมารับโทษตามคำพิพากษาได้ แต่กรณีของหมอปายก็นับว่าเป็นคดีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงพลังของความยืนหยัด ความร่วมมือของทุกฝ่ายในกระบวนการยุติธรรม และความสำคัญของทนายความที่ยึดมั่นในหลักการมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว
หวังว่าคดีนี้จะเป็นแรงผลักดันให้สังคมไทยเดินหน้าไปสู่
ระบบยุติธรรมที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง

















