ถ้าประเทศไทยเป็นคนป่วยแห่งอาเซียน
หลายประเทศในอาเซียนกำลังเจริญเติบโตใหญ่ หากไทยถูกแซงหน้าไปกลายเป็นประเทศคนป่วยแห่งอาเซียน พี่น้องประชาชนจะเป็นอย่างไร
เราคงเคยได้ยินว่าครั้งหนึ่งประเทศจีนเคยได้รับการขนานนามว่าเป็นประเทศคนป่วยแห่งเอเซีย เพราะการมอมเหมาด้วยฝิ่นของจักรวรรดินิยม การขูดรีดของจักรวรรดินิยม และการโกงกินของนายทุนขุนศึกต่างๆ จนกระทั่งประธานเหมาตสามารถพลิกฟ้าแผ่นดินได้ ประเทศจีนจึงกลับมามีอนาคตอันยิ่งใหญ่ กลายเป็นประเทศศูนย์กลางของจักรวาลครั้งหนึ่ง
ผมเคยไปบราซิลปี 2542 ปรากฏว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจโดยรวมซบเซามากทั้งทั้งที่ก่อนหน้านี้หน้านั้น 20 ถึง 30 ปี บราซิลเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรืองมากในทวีปอเมริกาใต้ ตึกรามบ้านช่องก็เก่าแก่ แทบไม่มีอะไรใหม่เลย สถานการณ์ดูย่ำแย่ไปหมด หลายภายหลังและไปยืนอยู่อีกครั้งในปี 2559 สถานการณ์ค่อยดีขึ้น เพราะประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นมาอยู่ภายใต้อำนาจของกลุ่มนายทุน ขุนศึกหรือนักการเมืองขี้โกง
ท่านเชื่อหรือไม่สมัยที่นายเกรียงไกร เตชะโม่งไปขโมยเพชรซาอุนั้น ชาวเกาหลีก็ยังไปขายแรงงานที่นั่นเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้เขาพัฒนาไปไกลมาก ผมถามนักธุรกิจชาวเกาหลี เขาบอกว่า เพราะประเทศของเขาเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่มีใครมีอำนาจเหนือประชาชน ประเทศจึงเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นเรื่องน่าสนใจเป็นอย่างมาก
ในเดือนมีนาคม-เมษายน 2568 นี้ผมเดินทางไปจีนถึงสองหน เช่นที่ทุกคนได้รับรู้ จีนเจริญก้าวหน้ามาก รายได้ประชาชาติต่อหัวก็สูงกว่าประเทศไทยทั้งที่เค้ามีประชากรตั้ง 1,400 ล้านคน เมื่อ 40-50 ปีก่อน จีนยังล้าหลังกว่าไทยมาก ผมจำได้ว่าสมัยไปเรียนต่อที่ประเทศเบลเยียม 2529 มีเจาพื่อนนักเรเรียนทุนของผมจากประเทศจีน เขาบอกว่ารายได้คนจบปริญญาตรีเป็นเงินแค่ประมาณ 400 บาทไทยในขณะที่ไทยเป็นเงินประมาณ 2000 บาท แต่เดี๋ยวนี้บัณฑิตใหม่จีนจีนมีรายได้สูงกว่าแล้ว
ต้นเดือนพฤษภาคมนี้ผมไปบรรยายที่กรุงมะนิลาประเทศฟิลิปปินส์ เห็นประเทศเพื่อนบ้านก็พยายามก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก ฟิลิปปินส์คาดการณ์ว่าขนาดเศรษฐกิจของเขาจะใหญ่กว่าไทยในไม่ช้านี้ ส่วนอินโดนีเซียก็มีรายได้ประชาชาติต่อหัวใกล้เคียงประเทศไทยมากขึ้น จากเพียงครึ่งหนึ่งของไทยตอนนี้ขึ้นมาเป็นราว 70% แล้ว เมื่อ 30 ปีก่อนชาวอินโดนีเซียมองว่าคนไทยมีฐานะดีกว่าเขา
ตอนนี้อินโดนีเซียมีรถไฟความเร็วสูงแล้วโดยวิ่งจากกรุงจาการ์ตาไปนครบันดุง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง สร้างเสร็จมาเป็นปีแล้ว และกำลังจะขยายต่อไปยังนครสุราบายาทางตะวันออกสุดของเกาะชวา (ใกล้บาหลี) ส่วนของไทยยังไม่แล้วเสร็จและอาจต้องใช้เวลาอีกพอสมควร อุตสาหกรรมต่างๆก็จะเจริญรุ่งเรืองมากเนื่องจากมีนักลงทุนต่างชาติมาลงทุนกันมากมาย ผมเองก็ยังเคยมาประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรมบนเกาะชวานี้
ผมเคยมาอินโดนีเซียตั้งแต่ปี 2525 ซึ่งช่วงนั้นยังแทบไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ต่อมาทำงานเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลัง อินโดนีเซีย และมาเป็นที่ปรึกษาธนาคารโลกที่กรุงจาการ์ตานี้ ในช่วงปี 2550 ถึง 2560 อินโดนีเซียเปลี่ยนไปมาก ทั้งนี้อาจนับคั้งแต่การโค่นล้มประธานาธิบดีซูฮาร์โตที่เป็นเผด็จการไปแล้ว
ยิ่งถ้าดูประเทศเวียดนามซึ่งมีการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดก็ยิ่งน่าเป็นห่วงประเทศไทย ผมไปเวียดนามครั้งแรกในปี 2542 สนามบินในกรุงฮานอยยังเล็กกว่าสนามบินอุบลราชธานี หรือขอนแก่น การพัฒนากฎหมายก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว ในปี 2548-9 ผมไปช่วยกระทรวงการคลังเวียดนาม วางมาตรฐานการประเมินค่าทรัพย์สิน (Roadmap) ปรากฏว่าเขาได้นำไปใช้และมีการควบคุมนักวิชาชีพเป็นอย่างดี ในขณะที่ในประเทศไทย ผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน นายหน้า ผู้บริหารทรัพย์สิน หรือนักวิชาชีพอื่นในวงการอสังหาริมทรัพย์กลับยังไม่มีการสอบใบอนุญาตเลย
แม้รายได้ประชาชาติต่อหัวของเวียดนามจะเท่ากับ 70% ของไทย และผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของเวียดนามกำลังจะแซงไทยในหนึ่งถึงสองปีนี้แล้ว เวียดนามมีประชากรมากกว่า กำลังซื้อจึงจะมีมากกว่าในอนาคต จึงยิ่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้เป็นอย่างมากหลายต่อหลายแห่ง ซึ่งเป็นของนักลงทุนไทยและนักลงทุนจากประเทศอื่น
สำหรับสิงคโปร์และมาเลเซียก็คงไม่ต้องพูดถึงเพราะทุกท่านคงทราบอยู่แล้วว่าระดับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศสองแห่งนี้สูงกว่าไทยเป็นอย่างมาก รายได้ประชาชาติต่อหัวก็สูงกว่ามากเช่นกัน ทั้งที่ครั้งหนึ่งอดีตนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียท่านหนึ่งคือนายตุนกู อับดุล ระฮ์มัน ยังเคยมาเรียนหนังสือที่ประเทศไทยที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ (ผมก็เป็นนักเรียนเก่าที่นี่)
ดังนั้นในอาเซียนอาจมีเพียงกัมพูชา ลาวและเมียนมาที่ยังตามหลังไทยอยู่ หากประเทศต่างๆ พากันไปลงทุนในอินโดนีเซีย เวียดนาม และนักท่องเที่ยวเบนเข็มไปเที่ยวเมียนมา กัมพูชา และประเทศเพื่อนบ้านอื่นของเรา เศรษฐกิจไทยก็อาจจะชะงักงันได้ สถานการณ์แบบนี้จึงน่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่งสำหรับอนาคตของประเทศชาติ
ในแง่หนึ่งในประเทศไทยของเรา ประชากรก็ค่อยค่อยลดลง ประชากรสูงวัยก็กลับเพิ่มขึ้น สวนทางกับประเทศอื่นที่ประชากรยังเพิ่มโดยเฉพาะคนหนุ่มสาววัยทำงาน นอกจากนั้นประเทศไทยยังมีกำลังแรงงานจากต่างประเทศเข้ามาอย่างผิดกฎหมายมากมายนับไม่ถ้วน แถมยังมีกลุ่มจีนเทาและจีนขาวเข้ามามาก พวกนี้ไม่ได้มาจ้างแรงงานไทยเช่นเดียวกับนักลงทุนญี่ปุ่นเมื่อ 30 ปีก่อน แถมยังนำวัสดุหรือวัตถุดิบรวมทั้งแรงงานมาจากประเทศจีนเองด้วย
โดยสรุปแล้วประเทศไทยกำลังถูกชุ่มชิงโอกาสโดยประเทศเพื่อนบ้านแถมยังถูกรุมทึ้งกันภายในประเทศอีกด้วย เราจะทำอย่างไรดี ผมจึงขอเสนอว่า:
1. เราต้องปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบให้สิ้น หาไม่คงสิ้นชาติ แต่ก็หวั่นใจว่าจะสำเร็จหรือไม่เพราะคนปราบอาจจะเป็นคนโกงเอง
2. เราต้องส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศกิจกรรมที่จ้างแรงงานให้มากรวมทั้งการอุดหนุน (Subsidy) ที่ดินอุตสาหกรรมในราคาถูก และปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของนักลงทุนจากต่างประเทศ
3. อุตสาหกรรมหนึ่งที่พึงส่งเสริมก็คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น รถไฟฟ้าเพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาด
4. ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการปราบปรามทัวร์ 0 เหรียญหรืออุตสาหกรรม 0 เหรียญใดๆ
5. ส่งเสริมให้ต่างชาติที่เป็นแรงงานมีฝีมือมาอยู่ประเทศไทย สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่อยู่อาศัยได้ แต่ต้องมีภาษีซื้อภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามราคาตลาด เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามราคาตลาด เสียภาษีกำไรจากการขายตามราคาตลาดและภาษีมรดก เช่นที่ประเทศตะวันตกเก็บกับคนไทยที่ไปซื้อในต่างประเทศ เป็นต้น
6. ส่งเสริมการใช้แรงงานคนไทยโดยเฉพาะผู้สูงวัยแทนที่จะใช้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นการกระจายรายได้ด้วย
แม้ประเทศชาติจะไม่ใช่ของเราคนเดียว เราก็ต้องร่วมกันพัฒนาชาติเพื่ออนาคตของลูกหลานเรา
ฃ






















