“กานต์” น้ำตาท่วมไลฟ์! เศร้า “เสก โลโซ” ติดคุก วอนขอแค่ป่วยไบโพลาร์ ไม่ใช่อาชญากร
“กานต์ วิภากร” ไลฟ์สดร่ำไห้กลางเตียง เผยหัวใจสลาย หลัง “เสก โลโซ” ถูกจำคุกกว่า 2 ปี วอนขอความเห็นใจ อย่ามองเขาเป็นอาชญากร เพราะเขาคือผู้ป่วยไบโพลาร์
เมื่อโลกโซเชียลเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ กรณีของ “กานต์ วิภากร ศุขพิมาย” ภรรยาของร็อกเกอร์ชื่อดัง “เสก โลโซ” หรือ เสกสรรค์ ศุขพิมาย ที่ออกมาไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กในสภาพนอนอยู่บนเตียง ร่ำไห้อย่างหมดอาลัยตายอยาก ท่ามกลางความสับสน อารมณ์เจ็บปวด และความรู้สึกผิดหวังที่ล้นทะลักออกมาผ่านน้ำตา เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ สั่งจำคุก “เสก โลโซ” เป็นเวลา 2 ปี 12 เดือน 20 วัน จากกรณีคดียาเสพติด มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และขัดขวางการจับกุมเมื่อปี 2560
คำตัดสินดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว “เสก โลโซ” เข้าสู่เรือนจำพิเศษมีนบุรีทันทีในวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 และนั่นก็เป็นวันที่ทำให้หัวใจของ “กานต์ วิภากร” แทบแตกสลาย
น้ำตาแห่งความสิ้นหวังของผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ “กานต์”
การไลฟ์สดของ “กานต์” ไม่ได้เป็นเพียงแค่การระบายความรู้สึก แต่เป็นการส่งเสียงร้องขอความเห็นใจต่อสังคม และวิงวอนให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่า “เสก” ไม่ใช่อาชญากร แต่เป็นผู้ป่วยที่สมควรได้รับการดูแล ไม่ใช่การลงโทษ
“เขาเป็นไบโพลาร์ ไม่ใช่อาชญากร...ขอร้องอย่าใจร้ายกับเขา”
เสียงสะอื้นแทบขาดใจของกานต์สะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่ไม่สามารถแบกรับไหว แม้เธอจะพยายามเต็มที่แล้วในฐานะภรรยา แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถช่วยคนที่เธอรักที่สุดได้
กานต์เล่าว่า เธอฝันถึงเสกทุกคืน นอนกับสุนัขตัวเดียวในบ้านหลังใหญ่ รู้สึกโดดเดี่ยว รู้สึกไม่อยากอยู่ และอยากตายไปให้พ้นจากความทรมานนี้ เธอไม่ได้แตะโซเชียลเลย ไม่รับโทรศัพท์ ไม่เปิดไลน์ อยู่แต่กับความคิดและความเศร้า รอวันที่จะได้พบหน้าสามีในเรือนจำ
เสก โลโซ: ร็อกเกอร์ผู้ป่วยไบโพลาร์ กับประเด็น “อาชญากร” หรือ “คนป่วย”
คำถามที่ถูกโยนกลับไปยังสังคมคือ เสก โลโซ สมควรถูกมองว่าเป็น “อาชญากร” หรือ “ผู้ป่วย”?
โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) ที่เสกเป็นมาเกือบ 20 ปีนั้น เป็นโรคทางจิตเวชที่ทำให้เกิดความผิดปกติทางอารมณ์ มีช่วงอารมณ์ดีเกินไป (mania) สลับกับช่วงซึมเศร้าอย่างรุนแรง (depression) ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถส่งผลต่อพฤติกรรม การตัดสินใจ และการใช้ชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง
กานต์พยายามสื่อสารกับสังคมว่า ความผิดที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นผลพวงจากโรค ไม่ใช่เจตนาร้าย เขาไม่ได้เป็นคนไม่ดีอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ
“เขาอยากกินหูฉลาม อยากกินรังนก อยากสั่งอาหารอิตาลี กานต์ก็อยากจัดให้เขากินบ้าง เขาไม่ใช่อาชญากร เขาแค่ป่วย”
ความรักที่เหนื่อยล้า แต่ไม่เคยหมดใจ
บทสนทนาระหว่างกานต์กับสามีภายในเรือนจำ เธอเล่าว่าเสกเข้มแข็งมาก ยิ้มให้ตลอดเวลา แต่เมื่อจะกลับ เสกกลับน้ำตาคลอ
“ตอนจะกลับ พี่เสกก็น้ำตาคลอ ยืนมองตาแดงๆ ใจจะขาด...กานต์อยากอยู่แทน อยากติดแทนก็ยังยอม”
กานต์เล่าว่าเธอฝากเงินไว้ให้เดือนละ 15,000 บาท สั่งอาหารให้ครบสองมื้อ พร้อมเตรียมของใช้ที่เสกต้องการทุกอย่าง เธอตั้งใจจะไปเยี่ยมทุกวันแม้จะรู้ทีหลังว่าอนุญาตให้เยี่ยมเพียง 3 วันต่อสัปดาห์ (จันทร์ พุธ ศุกร์)
ลูก ๆ คือหัวใจที่พ่อและแม่ห่วงที่สุด
อีกประเด็นสำคัญที่กานต์พูดถึงคือ “ลูก” โดยเฉพาะ “เสือ” ลูกชายคนโตที่เคยพูดไว้ว่า “ถ้าพ่อติดคุก เสือคงไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร”
คำพูดนี้ฝังอยู่ในใจของกานต์เสมอ และทำให้เธอร้องไห้ยิ่งกว่าเดิม เพราะเธอรู้ว่าลูก ๆ จะต้องเสียใจและเจ็บปวดมากไม่ต่างกัน โดยเฉพาะเมื่อลูกแต่ละคนแยกอยู่บ้านคนละหลัง เธอไม่กล้าติดต่อ ไม่กล้ารับสาย ไม่รู้จะคุยกับลูกอย่างไรดี
“ขอทุกคนช่วยซัปพอร์ตลูก ๆ หน่อยได้ไหม...ขอให้เสือเข้มแข็งนะลูก ตอนนี้แม่ไม่ไหวแล้ว”
สื่อมวลชนและความเห็นใจจากสังคม
กานต์ยังกล่าวขอร้องสื่อมวลชนอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่ต้องไปรอที่เรือนจำอีก เพราะจะทำให้เธอใช้เวลาอยู่กับเสกได้น้อยลง และเธอไม่อยากพบใครหน้าใครในเวลานี้ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางและหนักหนาที่สุดในชีวิต
“ขอโทษทุกสื่อมวลชนนะคะ แต่ตอนนี้กานต์ไม่อยากเจอหน้าใครเลย มันเจ็บจนแทบขาดใจ”
เสียงจากภรรยา ถึงฟากฟ้าบนศาลยุติธรรม
ท้ายที่สุด กานต์ได้วิงวอนถึง “เบื้องบน” ไม่ว่าจะหมายถึงฟ้าดิน สังคม หรือกระบวนการยุติธรรม ว่าเสกสมควรได้รับการดูแล ไม่ใช่การลงโทษ
“ใส่ EM ก็ได้ อยู่แต่ในบ้านก็ได้ ขอให้เขากลับมาดูแลลูกกับเมียได้ไหม (ร้องไห้)...เขาไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย เขาแค่ป่วย...19 ปีแล้วที่เขาเป็นโรคนี้ ขอเมตตาเถอะค่ะ”
เมื่อความรัก พลังใจ และความเข้าใจ กลายเป็นสิ่งเดียวที่ผู้หญิงคนหนึ่งยังพอเหลืออยู่
เรื่องราวของ “กานต์ วิภากร” กับ “เสก โลโซ” ไม่ได้สะท้อนแค่ความรักระหว่างสามีภรรยาเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนสังคมให้ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพจิต ความเข้าใจในโรค และการมองผู้ป่วยอย่างมีเมตตา
และสิ่งที่เธอวิงวอนมากที่สุดในช่วงสุดท้ายของการไลฟ์สด คือ “ความเห็นใจ” จากทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่ต่อเสก แต่ต่อครอบครัว ลูก ๆ และตัวเธอเอง ผู้ที่ต้องใช้ชีวิตต่อไปกับหัวใจที่แหว่งวิ่น
“แม่ไม่ได้แข็งแกร่งแบบที่ใครคิด...10 กว่าปีมานี้ ร้องไห้มาไม่รู้กี่คืน...แต่ก็ยังยืนอยู่ เพื่อเสก เพื่อลูก”






















