ไม่ใช่ทุกคนเห็นพ้อง! ฟังเหตุผลฝั่งเสียงข้างน้อย ทำไม ‘ยิ่งลักษณ์’ ไม่ควรชดใช้ค่าเสียหายคดีจำนำข้าว
"เปิดเหตุผลเสียงข้างน้อยในศาลปกครองสูงสุด: ทำไม 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ไม่ควรถูกบังคับให้ชดใช้เงินคดีจำนำข้าว"
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา คดีที่อยู่ในความสนใจของสังคมไทยมาหลายปีได้เดินทางมาถึงจุดสำคัญอีกครั้ง เมื่อศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาสั่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากโครงการรับจำนำข้าวในส่วนของการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "จีทูจี" เป็นจำนวนเงินสูงถึง 10,028,861,880.83 บาท
แม้ผลการตัดสินของที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 56 คนจะออกมาในทิศทางที่เห็นว่าควรให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าเสียหายตามคำสั่งของกระทรวงการคลัง แต่ประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากภาคประชาชนและนักวิชาการ คือ “เสียงข้างน้อย” ของตุลาการจำนวน 5 คน ที่แสดงความเห็นต่างจากเสียงข้างมาก พร้อมให้เหตุผลที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะตุลาการ 4 ใน 5 คนที่เห็นตรงกันว่า “ยิ่งลักษณ์ไม่ควรต้องรับผิดชอบในกรณีนี้”
คำถามคือ เหตุใดตุลาการเสียงข้างน้อยจึงเห็นต่าง? พวกเขาอ้างเหตุผลใดในการเสนอให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง และไม่ให้ยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้เงินในคดีจำนำข้าว?
1. เหตุผลหลักของเสียงข้างน้อย: ยิ่งลักษณ์ทำหน้าที่ครบถ้วนแล้ว
ตุลาการเสียงข้างน้อย 4 ใน 5 คน ได้อ้างอิงข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนคดีอย่างชัดเจนว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับหนังสือจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งระบุว่ามีปัญหาการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว โดยเฉพาะการระบายข้าวในรูปแบบจีทูจี
สิ่งที่เธอทำต่อจากนั้นคือ การส่งต่อหนังสือฉบับดังกล่าวไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจโดยตรงในการดูแลโครงการ และมีหน้าที่ในการดำเนินการตรวจสอบ แก้ไข หรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
เสียงข้างน้อยจึงให้เหตุผลว่า การกระทำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการภายในขอบเขตอำนาจตามกฎหมายแล้ว และไม่มีเหตุอันควรที่จะกล่าวหาว่าเธอ “ละเลยต่อหน้าที่” หรือ “ปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหาย”
2. ความซับซ้อนของระบบราชการ และการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ
อีกหนึ่งประเด็นที่เสียงข้างน้อยยกขึ้นมาคือ โครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการที่มีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และหน่วยงานตรวจสอบอื่น ๆ เช่น สตง. และ ป.ป.ช.
การจะชี้ว่าใครควรรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น จึงไม่สามารถพิจารณาเฉพาะตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ โดยเฉพาะในระบบบริหารราชการแผ่นดินที่มีลำดับชั้นและการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน
เสียงข้างน้อยจึงเห็นว่า การชี้ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเพียงผู้เดียวนั้น “ไม่ยุติธรรม” และ “ไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม” เพราะไม่ได้นำปัจจัยที่ซับซ้อนของระบบการดำเนินนโยบายสาธารณะมาพิจารณาอย่างรอบด้าน
3. เสียงข้างน้อยอีก 1 ราย: ให้รับผิด แต่เพียง 20% ของความเสียหาย
ในจำนวนตุลาการเสียงข้างน้อย 5 คน ยังมีอีกหนึ่งคนที่เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ควรมีส่วนในการรับผิด แต่ไม่ใช่ทั้งหมด โดยเสนอว่าเธอควรรับผิดในอัตราเพียง 20% ของความเสียหายทั้งหมด โดยให้หักลบจากความผิดพลาดของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ระบบราชการที่ขาดประสิทธิภาพ หรือการจัดการที่บกพร่องในกระบวนการระบายข้าว
แนวคิดนี้ถือเป็นการประเมินแบบ “แบ่งสัดส่วนความรับผิด” ซึ่งมีใช้ในหลายประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการโยนภาระทั้งหมดให้กับผู้นำทางการเมืองโดยปราศจากความยุติธรรม
4. ข้อถกเถียงจากสังคม: ความรับผิดทางการเมือง vs ความรับผิดทางกฎหมาย
กรณีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในวงกว้าง ระหว่างแนวคิดเรื่อง "ความรับผิดทางการเมือง" กับ "ความรับผิดทางกฎหมาย"
บางฝ่ายมองว่า ในฐานะผู้นำรัฐบาล เธอมีหน้าที่ต้องควบคุมและกำกับนโยบายอย่างรอบด้าน ดังนั้นเมื่อเกิดความเสียหาย เธอก็ควรต้องรับผิด ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม
ขณะที่อีกฝ่ายมองว่า การโยนความผิดทั้งหมดให้ผู้นำทางการเมือง เป็นการทำลายหลักการของการแบ่งหน้าที่ภายในระบบราชการ และอาจกลายเป็นบรรทัดฐานที่ทำให้ผู้นำในอนาคตไม่กล้าใช้อำนาจ หรือริเริ่มนโยบายเพื่อประชาชน เพราะกลัวถูกไล่เบี้ยในภายหลัง
5. บทสรุป: เสียงข้างน้อยอาจไม่ชนะ แต่มีน้ำหนักทางสังคม
แม้คำพิพากษาสุดท้ายของศาลปกครองสูงสุดจะออกมาในทิศทางที่ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้ค่าเสียหาย แต่ความเห็นของเสียงข้างน้อยในคดีนี้ ถือเป็น “หมุดหมายสำคัญ” ของกระบวนการยุติธรรมไทย เพราะเป็นการสะท้อนว่า ภายในศาลเองก็ยังมีการตั้งคำถามต่อหลักเกณฑ์ในการตัดสิน และพยายามพิจารณาความยุติธรรมในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ข้อถกเถียงและคำอธิบายจากเสียงข้างน้อย ยังกลายเป็นแนวทางให้ผู้คนในสังคมได้พิจารณาว่า กฎหมายควรตีความด้วยความยุติธรรมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ยึดตัวบทกฎหมายเท่านั้น
การที่ตุลาการบางคนกล้าพูดสิ่งที่ต่างจากเสียงข้างมาก คือเครื่องสะท้อนว่าศาลไทยยังมีพื้นที่ให้กับ “ความเห็นต่าง” และนั่นอาจเป็นความหวังเล็ก ๆ ของกระบวนการยุติธรรมที่หลายคนกำลังเฝ้ามอง






















