มายด์ MC เคลียร์ใจ! ปมถูกโยงมือที่สาม โต้ง–พลอย ลั่นเคยพลาดมาแล้ว
"มายด์ MC" เคลียร์ใจ! หลังถูกโยงมือที่สามรักร้าว “โต้ง ทูพี – พลอย เฌอมาลย์” ยืนยันเสียงชัด: “หนูเคยผิด แต่เรื่องนี้หนูไม่เกี่ยว!”
กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนในโลกโซเชียลที่สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วทั้งทวิตเตอร์และอินสตาแกรม เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากที่นักแสดงสาวชื่อดัง “พลอย เฌอมาลย์” ออกมาโพสต์ข้อความสุดแรงใส่อดีตคนรักแร็ปเปอร์หนุ่มชื่อดัง “โต้ง ทูพี” ผ่านทาง IG Story พร้อมประโยคที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง สะเทือนใจ และมีการโยงถึงพฤติกรรมที่คล้ายการนอกใจ ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่หลายคนจับตามองว่า “ใครคือมือที่สาม?”
แม้ “พลอย” จะไม่ได้ระบุชื่อชัดเจนว่าเป็นใคร แต่เนื้อหาของโพสต์ที่เธอแชร์ ทำให้ชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยเริ่มวิเคราะห์และตั้งข้อสงสัยไปที่หญิงสาวรายหนึ่งที่มีชื่อเสียงอยู่ในวงการบันเทิงออนไลน์ และเคยมีประเด็นดราม่าในอดีตอย่าง “มายด์ MC” จนเกิดกระแสการโยงและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างร้อนแรงในสื่อสังคมออนไลน์
ถูกด่าโดยไร้ข้อเท็จจริง “มายด์ MC” ไม่ทน! อัดคลิปเคลียร์ทุกประเด็น
หลังจากมีกระแสโยงว่าเธอคือบุคคลที่เข้ามาเป็นมือที่สามในความสัมพันธ์ระหว่าง “โต้ง ทูพี” กับ “พลอย เฌอมาลย์” ด้าน “มายด์ MC” ก็ไม่ได้นิ่งเฉยแต่อย่างใด เธอเลือกที่จะออกมาอธิบายผ่านคลิปวิดีโอในสตอรี่ของอินสตาแกรม เพื่อเคลียร์ทุกข้อสงสัย และตัดกระแสข่าวลือที่ลุกลามไปไกลเกินความเป็นจริง โดยเธอเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงจริงใจและสีหน้าจริงจัง
“สวัสดีค่ะ มายด์นะคะ รู้ค่ะว่าหลายคนก็คงเบื่อหน้ามายด์กันแล้วแหละ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มายด์ก็โดนโยง โดนด่า โดนว่า โดนตัดสินไปก่อนทุกที โดยที่บางเรื่องมายด์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยซ้ำ...”
มายด์กล่าวในคลิปว่า เพียงแค่เธอลงสตอรี่ว่ากำลังไปรับประทานอาหารก็กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะมีบางจุดในภาพ เช่น เล็บ หรือแหวน ที่ถูกชาวเน็ตนำไปเทียบกับบุคคลในข่าว และชี้เป้าว่าเธอคือคนเดียวกัน
“แค่ลงสตอรี่ไปทานข้าวเท่านั้นเอง ก็ดันเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะเล็บดันไปเหมือนคนนั้น แหวนดันไปเหมือนคนนี้ มุมกล้องต้องใช่แน่ๆ…”
เธอจึงต้องตัดสินใจลบสตอรี่ออกไป เพราะไม่ต้องการให้เป็นเชื้อไฟที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือทำร้ายใครเพิ่มอีก แม้ความจริงเธอจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลยก็ตาม
ยอมรับเคยผิดพลาดในอดีต แต่ครั้งนี้ขอพูดในความจริง
ในคลิปเดียวกัน มายด์ยังย้ำว่า เธอเคยผิดพลาดในอดีตจริง และเคยออกมายอมรับขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วอย่างตรงไปตรงมา แต่เธอกลับรู้สึกว่าแม้จะผ่านไปแล้ว เรื่องราวเหล่านั้นยังคงตามหลอกหลอนและถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อโจมตีเธออยู่เรื่อย ๆ
“มายด์เคยทำผิดไปแล้วครั้งหนึ่งนะคะ ซึ่งในครั้งนั้น มายด์ออกมายอมรับ ออกมาขอโทษในส่วนที่มายด์ผิดไปแล้ว... แต่มันก็เหมือนยังไม่จบ พอมีเรื่องใหม่ขึ้นมา ไม่ว่าจะใช่มายด์หรือไม่ใช่ มายด์ก็โดนด่าซ้ำ เหมือนเรื่องเก่ายังไม่ทันผ่านไป ก็มีเรื่องใหม่มาอีกแล้ว...”
เธออธิบายเพิ่มเติมว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับบุคคลในข่าวนั้นเกิดขึ้นเมื่อสมัยเรียน ซึ่งเป็นเรื่องนานมากแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น หรือมีอะไรเกี่ยวพันในช่วงเวลาที่แฟนเก่าและแฟนใหม่เลิกรากันแต่อย่างใด
มายด์ทิ้งท้ายไว้ด้วยถ้อยคำที่สื่อถึงความเข้าใจ และความพยายามที่จะเติบโตจากประสบการณ์ในอดีต
“ไม่ได้ต้องการเรียกร้องความสนใจ ไม่ได้อยากให้ใครมาโอ๋ แค่อยากจะบอกว่าเราพยายามเรียนรู้จากเรื่องครั้งที่แล้วจริง ๆ ทุกคนไม่ต้องเชื่อมายด์ก็ได้นะคะ แค่รับฟังมายด์ก็ขอบคุณมาก ๆ แล้วค่ะ”
ชาวเน็ตเสียงแตก บ้างเห็นใจ บ้างยังสงสัย
แม้ว่าคลิปวิดีโอของมายด์จะมีน้ำเสียงสุภาพ และดูจริงใจ แต่กระแสในโลกออนไลน์ก็ยังคงแตกออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งออกมาให้กำลังใจเธอ บอกว่าในเมื่อไม่มีหลักฐานชัดเจน ก็ไม่ควรด่วนตัดสินคนจากเพียงภาพเล็บหรือแหวน อีกฝ่ายกลับยังคงมีข้อสงสัยและวิจารณ์ในเชิงลบต่อพฤติกรรมในอดีตของมายด์ พร้อมตั้งคำถามว่า ทำไมถึงยังมีเรื่องแบบนี้ตามมาอีกครั้ง
บางคอมเมนต์ในทวิตเตอร์ระบุว่า
“ไม่อยากโยนความผิดให้ใคร แต่ถ้าเคลียร์ตัวเองได้ชัดเจนแบบนี้ก็ดีแล้ว คนเราควรได้รับโอกาสในการเริ่มใหม่”
“มันไม่ได้สำคัญว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่การที่เคยมีประวัติก็ทำให้คนไม่วางใจ นี่คือราคาของการเคยทำผิดจริง ๆ”
“ฟังแล้วก็เข้าใจนะ บางทีโลกออนไลน์ก็โหดเกินไปกับคนที่เคยผิด”
สื่อออนไลน์ควรมีวิจารณญาณ ก่อนผลักใครเป็น “จำเลยสังคม”
เหตุการณ์นี้ยังกลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงอันตรายของการตัดสินคนจากข้อมูลเพียงบางส่วนในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของคนดัง ที่มักถูกจับจ้องและพาดพิงด้วยความเร็วและแรงของโซเชียลมีเดีย
แม้การออกมาชี้แจงของมายด์จะไม่ได้ลบล้างทุกข้อสงสัยทันที แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญในการเผชิญหน้าและยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ขณะเดียวกัน ก็เป็นเครื่องเตือนใจว่าการ “โยง” ใครเข้ากับข่าวโดยไม่มีหลักฐานชัดเจน อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงกับชีวิตและจิตใจของบุคคลนั้น
อ้างอิงจาก: ที่มา : aphroditesmild

















