ขายสนุกเกินไป? หนุ่มไอศกรีมตุรกีเจอเจ้าหน้าที่บุก หลังไวรัลบนถนนข้าวสาร
ตำรวจสน.ชนะสงคราม-ตรวจคนเข้าเมือง สนธิกำลังกวาดล้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในย่านข้าวสาร รวบ 8 ราย ซ้ำพบ "พ่อค้าไอศกรีมเตอร์กิช" ใช้วีซ่าท่องเที่ยวลักลอบทำงาน
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 21.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจากฝ่ายป้องกันและปราบปราม สน.ชนะสงคราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 (บก.ตม.1) ได้ดำเนินการปฏิบัติการตรวจสอบพื้นที่ท่องเที่ยวชื่อดังกลางกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ถนนข้าวสารและถนนรามบุตรี ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางมาสัมผัสบรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองหลวง
เน้นตรวจพื้นที่เป้าหมาย แก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวลักลอบทำงาน
ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากแนวทางการสืบสวนเชิงลึกของฝ่ายป้องกันและปราบปราม สน.ชนะสงคราม ที่ร่วมมือกับฝ่ายสืบสวนจาก บก.ตม.1 ซึ่งได้ประมวลข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการกระทำผิดของแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาทำงานในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในเขตพื้นที่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพฯ ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะพบการเร่ขายสินค้าและการทำงานหน้าร้านโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานถูกต้อง
ในการตรวจสอบครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่กระจายกำลังตามร้านอาหารข้างทาง รถเข็นขายของเร่ และร้านโรตีเคบับ รวมไปถึงรถขายไอศกรีมและน้ำผลไม้ที่ตั้งอยู่ริมถนน โดยทั้งหมดอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ สน.ชนะสงคราม ซึ่งครอบคลุมบริเวณสำคัญ ได้แก่ ถนนข้าวสาร ถนนรามบุตรี และตรอกซอกซอยใกล้เคียง
รวบแรงงานเมียนมาร์ 7 ราย พบลักลอบเข้าประเทศ-ไม่มีพาสปอร์ต
จากการตรวจสอบเอกสารประจำตัวบุคคล และใบอนุญาตทำงาน พบว่ามีแรงงานต่างด้าวเพศชายจำนวน 8 รายที่เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย จากจำนวนนี้ 7 รายเป็นสัญชาติเมียนมาร์ โดยเฉพาะ 4 คนในกลุ่มนี้ไม่สามารถแสดงหนังสือเดินทางหรือเอกสารประจำตัวใด ๆ ได้ เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าทั้ง 4 รายดังกล่าวลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างผิดกฎหมาย และมีเจตนาเข้ามาประกอบอาชีพขายของในพื้นที่ท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองอย่างชัดเจน
สำหรับอีก 3 คนที่เหลือ แม้จะสามารถแสดงหนังสือเดินทางได้ แต่กลับพบว่าไม่มีใบอนุญาตทำงานตามกฎหมาย บางรายอยู่ในกลุ่มบุคคลตามมติคณะรัฐมนตรีที่อนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ทว่ากลับขาดการต่ออายุใบแทนใบอนุญาตทำงาน จึงเข้าข่ายความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”
หนุ่มตุรกีโชว์ลีลาขายไอศกรีม "เตอร์กิชสไตล์" เจอข้อหาทำงานผิดกฎหมาย
อีกหนึ่งกรณีที่ได้รับความสนใจคือบุคคลต่างด้าวสัญชาติตุรกี ซึ่งทราบชื่อต่อมาคือนายมูฮัมเหม็ด (นามสมมติ) ซึ่งเปิดร้านขายไอศกรีมสไตล์เตอร์กิชอยู่บริเวณริมถนนข้าวสาร โดยร้านของเขาได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยว เนื่องจากลีลาการขายที่เน้นความสนุกสนานและความสามารถในการโยกย้ายไอศกรีมไปมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของการขายไอศกรีมในประเทศตุรกี
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบเอกสารของนายมูฮัมเหม็ด พบว่าเขาเดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยใช้วีซ่าท่องเที่ยว (Tourist Visa) และไม่มีใบอนุญาตทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงถือว่ามีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหา "เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต" และควบคุมตัวไว้เพื่อดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย
เจ้าหน้าที่เน้นย้ำ ตรวจเข้มทั่วกรุง พร้อมเปิดช่องทางแจ้งเบาะแส 1178
พ.ต.ท.สุริยะ พ่วงสมบัติ รองผู้กำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 (บก.ตม.1) ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้หน่วยงานของเขาได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการตรวจสอบพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครทั้งหมด โดยมีการวางแผนปฏิบัติการและกำหนดวงรอบการตรวจตราอย่างชัดเจน เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวเป็นไปอย่างเข้มงวดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
"เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนในการควบคุมการกระทำผิดของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง" พ.ต.ท.สุริยะ กล่าว
ทั้งนี้ บก.ตม.1 ได้เปิดช่องทางในการรับแจ้งเบาะแสจากประชาชนที่พบเห็นแรงงานต่างด้าวกระทำผิดกฎหมาย หรือมีการลักลอบทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สายด่วนหมายเลข 1178 ตลอด 24 ชั่วโมง
เดินหน้าบังคับใช้กฎหมายไม่ละเว้น ย้ำเอาผิดทั้งแรงงานและนายจ้าง
เจ้าหน้าที่ตำรวจยังกล่าวย้ำว่า นอกจากการจับกุมแรงงานต่างด้าวที่กระทำผิดแล้ว เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบไปยังเจ้าของกิจการหรือนายจ้างที่อาจมีส่วนรู้เห็นหรือให้การสนับสนุนการจ้างงานแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน เพราะถือเป็นการร่วมกระทำผิดตามกฎหมายแรงงานและกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งหากพบการกระทำผิดในลักษณะนี้จะมีโทษทั้งทางแพ่งและอาญา
จากปฏิบัติการในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าว ซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบต่อแรงงานไทย ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น และภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานักท่องเที่ยว






















